วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ธรรมะบันเทิง

คำสั่งคุณพ่อ


พ่อแม่เป็นผู้อุปการะคุณต่อลูกเป็นอย่างมากมาย อย่างเช่น ให้การเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ให้การศึกษาอย่างสุดความสามารถของพ่อแม่ แนะนำมิให้ลูกทำความชั่ว

ในสิงคาลกสูตร ได้กล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดเวฬุวัน ใกล้กรุงราชคฤห์ เช้าวันหนึ่งเสด็จออกจากวัดเข้าไปบิณฑบาต ในระหว่างทางทรงพบมาณพคนหนึ่ง ชื่อว่า "สิงคาลกะ" มีผมเปียกและผ้าเปียก กำลังไหว้ทิศอยู่ จึงตรัสถามว่า “ไหว้ทำไม”

สิงคาลกะทูลว่า “ก่อนบิดาจะตายได้สั่งไว้ให้ไหว้ทิศ จึงทำตามคำสั่งด้วยความเคารพ”

พระพุทธองค์ตรัสว่า “ในอริยวินัย เขาไม่ไหว้ทิศ 6 อย่างนี้”

สิงคาลกะทูลถามว่า “เขาไหว้กันอย่างไร”

พระพุทธองค์จึงแสดงธรรมว่า อริยสาวกต้องละกรรมกิเลส และอคติ 4 ไม่ประกอบอบายมุข 6 เมื่อปราศจากความชั่ว 10 ประการนี้แล้ว ตายแล้วไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ดังนี้แล้ว จึงได้ตรัสหน้าที่ของบุคคลประจำทิศทั้ง 6 ที่จะพึงปฏิบัติต่อกันโดยลำดับ

ในที่สุด สิงคาลมาณพ ชื่นชมยินดี แสดงตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะที่พึ่งตั้งแต่นั้นมา

ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า พ่อแม่จัดเป็นทิศเบื้องหน้าของลูก ก็เพราะพ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิด และให้การบำรุงเลี้ยงดู พิทักษ์รักษามาก่อน หรือกล่าวได้ว่าให้ชีวิตแก่ลูก ๆ

ไหน ๆ ก็เล่าเรื่องในพระสูตร ก็ขอเล่าเรื่องแบบชาวบ้าน ๆ บ้าง เป็นเรื่องของพ่อลูกคู่หนึ่ง ซึ่งอยู่ในชนบท และใช้ชีวิตเป็นอย่างชาวบ้านทั่วไป อยู่กันแบบสังคมใหญ่ คือ จะรู้จักกันทั้งหมู่บ้าน ไม่ว่าจะถามหาใคร ก็จะรู้และบอกได้ว่าอยู่บ้านไหน และเป็นสังคมที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน โดยมีอะไรก็จะแบ่งสันปันส่วนให้แก่กันและกัน

เมื่อลูกชายโตเป็นหนุ่ม พ่อก็จะหาคู่ครองที่สมควรให้ โดยการหมั้นหมายกัน หรือว่า เป็นดองกัน หรือ กินดอง นั่นเอง ก่อนจะแต่งงานกันหนึ่งปี ทางฝ่ายชายจะต้องไปช่วยงานบ้านฝ่ายหญิงก่อน ตั้งแต่ช่วยดำนา เกี่ยวข้าว จนเก็บข้าวเข้ายุ้งฉาง ซึ่งถือว่าเป็นการทดลองสอบงานไปในตัว ก่อนที่จะบรรจุลงในตำแหน่งลูกเขย

ก่อนที่ลูกชายจะไปบ้านฝ่ายหญิง ผู้เป็นพ่อต้องให้ลูกเข้าคอร์สอบรมอย่างมาก และมีคุณพ่อเป็นติวเตอร์สอนด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการประพฤติปฏิบัติตัว มารยาท การกิน การนอน เป็นต้น

พ่อก็รู้ลูกชายของตนนั้นเป็นคนกินจุ ก็เลยกำชับไว้ว่า “ลูกเอ๋ย เวลากินข้าว อย่าไปกินมาก ให้กินแต่น้อย ๆ เคี้ยวนาน ๆ นะลูก”

ลูกชาย “อ้าว ! พ่อ ถ้ากินน้อย มันก็ไม่อิ่มนะซิ แล้วถ้าหิวแล้วจะทำอย่างไรล่ะครับ”

พ่อ “จะไปยากอะไร เอ็งกินข้าวไม่อิ่ม ถ้าหิวก็เอาน้ำลูบท้องซิ”

“พ่อ เอาน้ำลูบท้องแล้วมันอิ่มแน่นะ”

“เออซิวะ เพราะพ่อลองมาก่อนแล้ว” คุณพ่อตอบแบบมีอารมณ์

“พ่อ ถ้าเอาน้ำลูบท้องแล้ว มันไม่อิ่มล่ะครับ”

“เอ็งเชื่อข้าเถอะว่ะ เพราะข้าอาบน้ำร้อนมาก่อน” คุณพ่อพูดตัดบทไป

ในที่สุดลูกชายก็จบหลักสูตร โดยมีคุณพ่อเป็นการันตีความสามารถ แล้วก็ไปช่วยงานที่บ้านฝ่ายหญิง ตอนทำงานก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เรื่องการทานนี้ซิ เรื่องใหญ่

พอถึงเวลาทานข้าวในตอนเย็น ทุก ๆ คนก็มานั่งล้อมวงทานข้าว ลูกชายก็ทานข้าวน้อย ๆ เคี้ยวนาน ๆ ตามคำสั่งพ่อ เมื่อทานข้าวหมดเขาจะเติม ก็บอกว่า “พอแล้ว ผมอิ่มแล้วครับ”

กลางคืน ความที่เขาเป็นคนกินจุ แต่ทานข้าวได้แค่ครึ่งเดียว ก็เกิดอาหารหิว ท้องร้อง และแสบท้อง ได้แน่เอามือกุมท้องและนอนพลิกตัวไปมา แล้วครางเบา ๆ เพื่อบรรเทาความหิวว่า “หิวโว๊ย หิวโว๊ย หิวโว๊ย” แต่ก็ไม่สามารถบรรเทาความหิวลงได้ แต่พอถึงคำสั่งคุณพ่อที่ว่า “ถ้าหิวล่ะก็ ให้เอาน้ำลูบท้อง”

เมื่อนึกถึงคำสั่งคุณพ่อว่าให้ทำอย่างไร เขาก็ค่อย ๆ ลุกจากที่นอน ไปยังโอ่งน้ำใช้ขันน้ำบรรจงตักน้ำขึ้นมา แล้วเอามือลงจุ่มในน้ำเอามาลูบที่ท้องเบา ๆ ก็เกิดอาการเย็นท้องนิดๆ เขาลูบท้องไปมาสองสามครั้ง อาการหิวก็ทุเลาลงนิดหน่อย เขาก็ไปนอน พอความหิวเกิดขึ้น เขาก็ทำตามคำสั่งคุณพ่อทุกครั้งโดยเคร่งครัด

คนเราเมื่อทานอาหารน้อย ๆ บ่อย ๆ หลายวันเข้า ความหิวก็จะจางหายไป เพราะร่างกายปรับสภาพให้เป็นคนทานน้อยลง เขาได้อยู่ช่วยงานทางบ้านของฝ่ายหญิง จนเสร็จสิ้นในฤดูกาลทำนา พอกลับมาถึงบ้าน คุณพ่อยอดติวเตอร์ก็เลยมาประเมินผลของลูกชาย

“เป็นอย่างไร ทุกอย่างผ่านไปดีหรือเปล่า แล้วเอ็งทำตามคำสั่งพ่อไหมล่ะ”

“โอ๊ย ! พ่อ ไม่ต้องห่วง ผมทำตามคำสั่งพ่อทุกประการ นั่นแหล่ะครับ”

“แล้วเรื่อง การกินของเอ็งล่ะ เป็นอย่างไร” คุณพ่อหยอดถามแบบทดสอบทันที

“เวลาหิว ผมก็เอาน้ำลูบท้องนั่นซิครับ”

“แล้วเอ็งอย่างไร” คุณพ่อถามวิธีการปฏิบัติ

“อ้าวพ่อ ! เวลาหิวนั่นนะพ่อ ท้องมันร้องและแสบท้องด้วย ผมก็ไปเอาน้ำมาลูบที่ท้องไปมาสามสี่ครั้ง เกิดอาการเย็น ๆ มันก็หายหิวเลยซิครับ แม้วิธีการของคุณพ่อเนี๊ยดีจริง ๆ” ลูกชายตอบอย่างภาคภูมิใจ แถมโฆษณาให้เสร็จ

“อ้าวเฮ้ย ! พ่อไม่ได้บอกให้เอาน้ำมาลูบที่ท้อง พ่อบอกให้เอาน้ำลูบท้องโว้ย” คุณพ่อโวยลูกชายที่ทำไม่ถูกวิธีการ

“แล้วพ่อให้ผมทำอย่างไร” ลูกชายถามแบบซื่อ ๆ งง ๆ

“พ่อบอกให้เอ็งเอาน้ำลูบท้อง นั่นล่ะหมายถึง กินน้ำโว้ย ไม่ใช่เอาน้ำมาลูบที่ท้อง” คุณพ่อตอบแบบเคือง ๆ นิด ๆ ที่ลูกชายไม่เข้าใจถึงวิธีการ

คำสั่งของคุณพ่อยอดติวเตอร์ที่ว่า “เอาน้ำลูบท้อง เป็นคำปริศนา ซึ่งหมายถึง การดื่มน้ำ” แล้วคุณล่ะ เคยเจอคำสั่งแบบปริศนา คำโบราณ หรือคำพังเพยบ้างหรือเปล่า แล้วมีวิธีการแก้ไขคำสั่งอย่างไร ?