วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

ดวงตาเห็นธรรม

ดวงตาเห็นธรรม

กลับมาพบกันในฉบับที่สองนะครับ สำหรับบทความนี้ต่อไปจะใช้ชื่อว่า "ดวงตาเห็นธรรม" เพราะรู้สึกว่าจะตรงกับประเด็นที่ผู้เขียนอยากจะนำเสนอ นั่นคือบอกเล่าเรื่องราวเหตุการณ์/สถานการณ์โลกในปัจจุบันให้ท่านได้ฟังกันผ่านธรรมะ เปรียบเสมือนกับการมองโลกผ่านธรรม ซึ่งหากเราพิจารณาแล้วก็จะพบสัจจะที่อยู่ในแต่ละเหตุการณ์ โดยอาจจะทำให้เราเรียนรู้และเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เปรียบเสมือนกับการได้ดวงตาเห็นธรรม

ในช่วงไม่กี่วันมานี้ไม่ว่าเราจะเปิดทีวีช่องไหนในประเทศไทย ก็คงจะหนีไม่พ้นเหตุการณ์ความวุ่นวายของการเมืองภายในประเทศที่นับวันจะยิ่งยุ่งเหยิงไปกันใหญ่ จนหลายคนรู้สึกเบื่อหรืออาจจะเครียดโดยไม่รู้ตัว เพราะมันเกิดขึ้นใกล้ตัวเรามากถึงมากที่สุด ที่ว่าอย่างนี้ก็เพราะว่ามันเกิดขึ้นที่บ้านเกิดเมืองนอนของเราเอง ซึ่งในจุดนี้หากท่านอยู่ในต่างประเทศจะเห็นความรู้สึกนี้ได้ชัดที่สุด

ผู้เขียนจึงอยากจะนำเสนอวิธีการวิเคราะห์อารมณ์ของตัวเอง ในที่นี้จะไม่วิเคราะห์หรือให้ความเห็นเกี่ยวกับการเมืองหรือสิ่งเร้ารอบตัวเรา แต่จะนำท่านไปหาวิธีการจัดการความเครียด ความเบื่อหน่าย หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่เกิดขึ้นว่าเราจะสามารถเรียนรู้อะไร และจะปฏิบัติตัวอย่างไรกับเหตุการณ์รอบๆ ตัวเราได้บ้าง ซึ่งผู้เขียนมีความเชื่อว่าอย่างน้อยก็คงจะช่วยเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของใครหลายๆ คนได้

แน่นอนครับ ณ เวลานี้แทบที่จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสภาพจิตใจของประชาชนคนไทยในสภาวะเช่นนี้ย่อมมีความไม่ปกติสุขอยู่เป็นแน่แท้ เพราะปัจจัยหลายๆ อย่างทั้งสภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง อันส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม อย่างไม่มีข้อยกเว้นนะครับ ไม่ว่าจะเป็นลูกเด็กเล็กแดง นักเรียนนักศึกษา พ่อค้าประชาชน ข้าราชการทหารตำรวจ หรือแม้กระทั่งพระสงฆ์องค์เจ้าก็ล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบไปตามๆ กันไม่ทางตรงก็ทางอ้อม มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป ซึ่งหากจะมองแล้วมันเป็นเหมือนปฏิกิริยาลูกโซ่ ที่รัดร้อยกันเป็นงูกินหาง ยิ่งสาวหาปลายก็ยิ่งวนไปไม่รู้จักจบสิ้น

ผลกระทบที่กล่าวถึงนั้นแน่นอนที่สุดทางด้านรูปธรรมย่อมที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ก็อาจจะด้านปัจจัยใช้สอย จากแต่ก่อนที่มีเงินทองใช้จ่ายได้สะดวกสบายก็กลับกลายหายพร่องไปบ้าง อันที่เคยเก็บออมเอาไว้ใช้จ่ายยามจำเป็นก็ต้องเอาออกมาใช้ บางท่านอาจจะตกงาน ไม่ว่าจะถูกบีบให้ออก หรือต้องปฏิบัติตามนโยบายของหน่วยงานที่ต้องปรับเปลี่ยนตำแหน่งแห่งหน เป็นต้น ซึ่งจริงๆ ปัญหาเหล่านี้มันไม่ได้เพิ่งจะเกิดขึ้น หากแต่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตตลอดเวลา แต่อาจจะไม่รุนแรงเท่าในปัจจุบันเท่านั้นเอง ซึ่งผู้ที่สนใจใฝ่ศึกษาสามารถค้นคว้าได้ว่าปัญหาที่กล่าวถึงนั้นมีอยู่ทุกยุคทุกสมัย ซึ่งจะผู้เขียนจะไม่ขอกล่าวลึกลงไปในทุกรายละเอียด เพียงแต่อยากจะกล่าวสั้นๆ ให้เป็นประเด็นเพื่อจะได้คิดตามและมองเห็นปัญหาหรือสิ่งที่ผู้เขียนกำลังกล่าวถึง

เอาล่ะ ทีนี้เรามาว่ากันถึงผลกระทบที่สองที่เป็นนามธรรมที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ ผลกระทบทางด้านจิตใจ อันจะเป็นปัจจัยให้เกิดสภาวะอารมณ์ที่แปรปรวน บางคนจากเคยอารมณ์ดีก็กลับเป็นคนอารมณ์บูดง่าย จากที่มีนิสัยมักโกรธ หรือเห็นอะไรขวางหูขวางตาไม่ได้เป็นต้องมีความรู้สึกหงุดหงิดตะขิดตะขวงก็กลับกลายเป็นว่าร้ายยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม อันนี้น่าจะเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดสำหรับสภาพอารมณ์ของคนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน นั่นคืออยู่ร้อนนอนทุกข์

แต่ในขณะเดียวกันนะครับก็มีคนอีกจำพวกหนึ่งที่พยายามศึกษา เรียนรู้ หมั่นฝึกหัดปฏิบัติกาย วาจา ใจให้สำรวมระงับ จากภาวะสิ่งเร้าที่อยู่รอบตัวนั้นๆ ไม่ให้มีอำนาจอยู่เหนือจิตใจของตนเอง โดยอาจจะศึกษา ปฏิบัติธรรม ฟังธรรมบรรยายบ่อยๆ ฝึกบ่อยๆ ตามรู้ดูจิตด้วยรูปแบบวิธีการที่ครูบาอาจารย์ของแต่ละท่านได้สั่งสอนแนะนำ ก็ส่งผลให้มีสภาพจิตที่เรียกได้ว่าอยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งก็ถึงว่าน่าจะเป็นตัวอย่างสำหรับคนอื่นๆ ในการดำรงชีวิตในสังคมอันวุ่นวายนี้ โดยตัวเราไม่สูญเสียความสมดุลทั้งทางกายและจิต

สำหรับวิธีการนั้นไม่ยากครับ ผู้เขียนจะขอเสนอวิธีการสั้นๆ ง่ายๆ ที่ไม่จำเป็นต้องมีพิธีการ หรือมีความเชื่อทางลัทธิศาสนาใดๆ มาเกี่ยวข้อง ซึ่งไม่อยากจะแนะนำสิ่งที่มุ่งไปถึงบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ หากแต่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทุกเพศทุกวัย นั่นคือ การพิจารณาตามรู้ดูจิตของตัวเอง วิธีการก็ง่ายๆ นะครับ ไม่ยาก ไม่วุ่นวาย เพียงใช้ ๒ ต. นั่นคือ

๑. เตรียมตัว วิธีการง่ายๆ คือ เมื่อเรารู้สึกตัวเวลาตื่นในตอนเช้า เมื่อลืมตาขึ้นให้นอนเฉยๆ หรืออาจจะลุกขึ้นนั่งนิ่งๆ เพื่อรวบรวมสติ ปลุกตัวเองให้หายง่วง โดยยังไม่ต้องลุกไปทำธุระส่วนตัวเลยเสียทีเดียว เพียงแค่ว่าใช้เวลาสั้นๆ สักสองสามนาทีนี้ได้เตรียมตัว เตรียมใจของตัวเอง บอกตัวเองให้พร้อมที่จะพาชีวิตออกไปเผชิญโลกภายนอกในวันนี้ โดยให้สัญญากับตัวเองว่าจะรักษา สุนทรียะทางอารมณ์ให้สดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ พูดง่ายๆ ก็คือ ให้บอกตัวเองว่า วันนี้ฉันจะเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยความแจ่มใสร่าเริง จะคิด จะพูด จะทำแต่สิ่งที่ดีที่งาม ด้วยการคิดไตร่ตรองก่อนการลงมือทำเพื่อให้มีความสุขทั้งต่อตนเองและคนอื่น จากนั้นก็ลุกขึ้นไปดื่มน้ำเปล่าๆ ก่อนสักขวดหนึ่ง แล้วค่อยไปอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน และใช้ชีวิตให้มีความสุขทั้งวัน ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน อย่าลืมว่าเตือนตนเองให้ยิ้ม และมีความสุข พูดจาแต่สิ่งที่เป็นมงคล ไพเราะอ่อนหวาน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความเมตตา ให้เป็นคนใจกว้าง รู้จักให้อภัย ให้โอกาส ไม่หุนหันพลันแล่น คิดก่อนทำ เลือกทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ที่ย่อยง่าย ละเว้นเครื่องดื่มอื่นใดให้เลือกแต่น้ำเปล่าๆ อาจจะไม่เย็น พยายาใช้ชีวิตของตนเองในวันนี้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

๒. ตรวจสอบ วิธีนี้ใช้เวลาก่อนนอนครับ ก่อนที่จะล้มหัวลงหมอนให้ใช้เวลาสักสองสามนาทีเช่นกัน นั่งนิ่งๆ คิดถึงช่วงวันที่ผ่านมาว่าเราได้ทำอะไรมาบ้าง สิ่งไหนเป็นประโยชน์ สิ่งไหนเป็นโทษ กาย วาจา ใจ ขุ่นมัวหรือเปล่า วันนี้เราได้สร้างรอยยิ้มแห่งความสุข ความประทับใจให้กับตัวเองและคนอื่นบ้างหรือไม่ มากน้อยเพียงใด หรือว่าทั้งวันต้องพบปะสถานการณ์ต่างๆ รอบตัวแล้วตัวเราได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง จิตเราเป็นไงบ้าง อารมรณ์เราเป็นไงบ้าง ก็ลองนั่งนึกดู แล้วให้ชั่งน้ำหนักเอาเอง ให้คะแนนตัวเองนะครับว่า ดีหรือไม่ดี อาจจะลองแบ่งน้ำหนักข้างฝ่ายละ ๕๐-๕๐ ดูสิว่า สิ่งที่เป็นประโยชน์/ไม่เป็นประโยชน์ ดีใจ/เสียใจ ขี้เหนียว/เผื่อแผ่ อย่างไหนมีมากกว่ากัน

จากที่กล่าวมานี้นะครับ ผู้เขียนมีความเชื่อมั่นว่าด้วยระดับสติปัญญาของท่านผู้อ่านทุกคน สามารถที่รู้ใจตัวเองได้เลยครับว่า เราต้องการให้ตัวเองมีอารมณ์แบบไหน เราต้องการเป็นคนอย่างไร นี่คือวิธีการดำเนินชีวิตที่คิดว่าถูกต้องและเป็นประโยชน์มากที่สุด เป็นการเตรียมตัว เลือกในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ให้อิสระเต็มที่ในการเลือกอยู่เลือกเป็น เราก็จะได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ เหมาะแล้วที่ได้มีโอกาสเกิดมาแล้วดำรงอยู่อย่างมีความสุข ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านมีความสุขครับ

สวัสดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น