วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

“ โอกาส ”


สมัยเป็นนักศึกษาเรียนอยู่ที่ประเทศอินเดีย ได้พักอาศัยอยู่ที่วัดไทยพุทธคยา ที่หน้ากุฏิของหลวงพ่อเจ้าอาวาสมีกลอนบทหนึ่งเขียนติดไว้ว่า “สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม คนหนึ่งตามแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวพราย”
ทำไมผู้เขียนจึงเกริ่นนำด้วยกลอนบทนี้ เพราะมันเกี่ยวพันกับบทความที่กำลังจะเขียนนะซิครับ มาดูว่าเกี่ยวยังไง เกิดเมืองไทย ไปอินเดีย จากอินเดีย และมาอเมริกา ไปอยู่ที่ไหนก็รู้สึกรักและผูกพันกับประเทศนั้นเสมือนหนึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตน ผู้เขียนมองเห็นทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีของแต่ละที่ เราต้องยอมรับอย่างปฏิเสธไม่ได้ว่า แต่ละที่แต่ละแห่งต่างก็มีจุดดีและจุดด้อยแตกต่างกันไป ไม่มีที่ไหนที่สมบูรณ์แบบที่สุดหรอก ว่าไหม ? เพราะคนเรายังไม่สมบูรณ์ แต่ประโยชน์อะไรกับการมองในแง่ร้ายเล่า เรามองหาจุดดีของแต่ละที่ดีกว่าไหม เรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้นแล้วนำมาปฏิบัติตามจะไม่ดีเหรอ เรียกว่า “ ร่อนแร่หาทอง ”
ทำไมเขียนเกี่ยวกับอเมริกาละ เพราะตอนนี้อยู่อเมริกา และที่สำคัญอยากให้เรียนรู้ร่วมกันว่า เหตุใดประเทศแห่งนี้ จึงสามารถพัฒนาจนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของโลกได้ในยุคปัจจุบัน ผู้เขียนคิดว่า ถ้าไม่มีอะไรดี หรือไม่แน่จริง คงไม่สามารถพัฒนาได้ขนาดนี้หรอก แล้วอะไรละที่เป็นคุณสมบัติเหล่านั้น เป็นสิ่งที่เราต้องมาศึกษาและเรียนรู้ร่วมกัน
ในตอนแรกนี้ อยากจะพาไปรู้จักอเมริกาว่า ทำไม อเมริกา จึงเป็นจุดหมายปลายทางของชนหลายชาติ หลากภาษา (America destination) ซึ่งต่อมามีคำเรียกประเทศแห่งนี้ว่า เป็นเบ้าหลอมทางเชื้อชาติ วัฒนธรรมประเพณีจากที่ต่างๆ ทั่วโลก(Melting Pot) หรือถ้าเป็นคนอังกฤษก็จะเรียกประเทศแห่งนี้ว่า โลกใหม่ (New World) ผู้เขียนเคยดูสารคดีเรื่อง จุดหมายปลายทาง คือ อเมริกา(America Destination)ในสารคดีนั้นมีเรื่องราวของคนจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกว่า เหตุใดเขาจึงพากันอพยพมาอยู่ ณ ประเทศแห่งนี้ บางคนหนีความยากจน บางคนหนีภัยการเมือง บางคนหนีปัญหาการกดขี่ทางเชื้อชาติ ศาสนา เพราะพวกเขาเชื่อว่าประเทศแห่งนี้มีโอกาสในการเริ่มต้นใหม่ได้
มีประโยคฮิตที่ใช้ประกาศอิสรภาพของประเทศอเมริกาที่เขียนโดยโทมัส เจฟเฟอสัน(Thomas Jefferson)ประธานาธิบดีคนที่ ๓ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ว่า มนุษย์ทุกคนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน (All men are created equal)ในด้านสิทธิเสรีภาพ หรือถ้าจะพูดว่า ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพจะทำอะไรก็ได้ที่ไม่ขัดกับตัวบทกฎหมายของบ้านเมือง
โอกาสถือว่าเป็นคำยิ่งใหญ่ในประเทศอเมริกานี้ เพราะทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันในการที่จะคิด พูด และทำในสิ่งที่ไม่ขัดกับกฏหมายบ้านเมือง ผู้เขียนชื่นชมสังคมแห่งนี้ที่ยกย่องชื่นชมคนเก่งและให้เกียรติคนดี อย่างคำพระท่านว่า “ นิคคัณเห นิคคะหาระหัง ปัคคัณเห ปัคคะหาระหัง ข่มคนที่ควรข่ม ยกย่องคนที่ควรยกย่อง ”
คนทำความดีก็ต้องยกย่องสรรเสริญ คนเก่งก็ต้องให้เกียรติ เพราะการทำอย่างนี้จะเป็นการให้กำลังใจคนดีและคนเก่ง ให้รักษาความดีและพัฒนาความสามารถของตนยิ่งๆ ขึ้นไป คนในสังคมจะเป็นอย่างไร ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับค่านิยมที่สังคมกำหนดให้ด้วย สังคมจึงควรนิยมคนเก่งและดี เพื่อที่จะได้เป็นตัวอย่างแก่คนอื่นยิ่งๆ ขึ้นไป
เมื่อนายโบรัค โอบามา ประธานาธิบดีคนปัจจุบันเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ ๔๔ ของอเมริกา นั้นเป็นข้อพิสูจน์คำว่า โอกาส ได้ดีที่สุด เพราะถ้าทุกคนในประเทศแห่งนี้มีความเพียรพยายามและตั้งใจจริงที่จะทำหรือเป็นอะไร ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำหรือเป็น
คำว่า โอกาส คำนี้จึงเป็นคำที่คนในประเทศแห่งนี้ยกย่องเชิดชู พร้อมทั้งเปิดทางให้แก่คนที่ชอบแสวงหาโอกาส คนเราทุกคนควรจะให้โอกาสแก่ตนเองและผู้อื่น และควรแสวงหาโอกาสที่จะทำสิ่งดีๆ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของตน แต่อย่ามัวรอให้โอกาสวิ่งเข้ามาหาเราอย่างเดียวละ ควรจะเดินเข้าไปโอกาสด้วย
ท่านผู้อ่านละ คิดเหมือนกันไหม ?

ดวงตาเห็นธรรม@ธรรมะทูโก

สุข-ทุกข์ อารมณ์ความรู้สึกที่เป็นสากล




วันนี้อยากจะเล่าถึงความรู้สึกของผมเองนะครับ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งที่เห็นอารมณ์ความรู้สึกของตนเองได้ชัดเจนสุดที่ก็น่าจะเป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงที่เฮตินั่นแหละครับ แม้ว่าจะผ่านไปนานนับเดือนแล้วก็ตาม แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผมและใครหลายๆ คนนั้นยังมิอาจลืมเลือนไปได้เลย ถึงแม้จะพิจารณาให้เห็นถึงสัจธรรมที่ว่า ทุกชีวิตล้วนแล้วแต่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ตามที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์เคยพร่ำสอนมา แต่ก็มิอดมิได้ครับที่อารมณ์แห่งความทุกข์มันผุดขึ้นมานั่งอยู่กลางใจ จนไม่อาจที่จะอยู่นิ่งเฉยได้ ทั้งพยายามช่วยเหลือในสิ่งที่ตัวผมเองพอจะทำได้บ้าง ด้วยการบริจาคเงินแก่ผู้ประสบภัยในนามสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา จำนวน ๑๐๐ เหรียญสหรัฐ ซึ่งหากจะว่าไปแล้วก็เป็นเพียงจำนวนเงินอันน้อยนิดก็ตามที แต่ก็ทำให้สบายใจได้ว่า เราก็เป็นคนหนึ่งที่ขอมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้น



มีคนกล่าวว่า “ความรู้สึก” หรือ Sentiment ถือว่าเป็นสากล หรือเป็นความรู้สึกมวลรวมที่ขอเรียกว่า GNS (Gross Nation Sentiment) ที่ไม่แบ่งแยกว่าคุณจะเชื้อชาติ ผิวพรรณ ภาษา ศาสนา เพศ หรือวัยใดก็ตาม แม้กระทั่งสัตว์ใหญ่น้อยก็ย่อมมีความรู้สึกที่เป็นสากลนี้เช่นกัน ที่กล่าวเช่นนี้หมายถึงว่าไม่มีความสุข, เศร้า, เหงา, ทุกข์ ฯลฯ แบบพุทธ คริสต์ อิสลาม หรือศาสนาอื่นใด หากแต่เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นสากล ที่ทุกคนล้วนแล้วแต่เคยประสบพบเจอและสัมผัสมาบ้างไม่มากก็น้อยแตกต่างกันไปตามเหตุปัจจัย เช่น หากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้หากมีพ่อ แม่ เพื่อน แฟน หรือกิ๊กรวมอยู่ในนั้นด้วย เราก็จะรู้สึกถึงทุกข์ร้อนก้อนขนาดใหญ่เกิดขึ้นคับอกคับใจของเรา จนแทบที่จะทนทานไหว บางคนก็ต้องร้องไห้ฟูมฟาย เสียอกเสียใจกันไปนานแสนนาน



แต่ในขณะเดียวกันหากไม่มีบุคคลอันเป็นที่รักดังกล่าว หรือเราไม่รู้จักใครเลยในประเทศเฮติ ความทุกข์มันก็จะเล็กไปหรืออาจจะไม่ทุกข์ด้วยซ้ำ เพราะอะไรนะหรือครับ เพราะว่ามันเกิดขึ้นไกล ญาติพี่น้องเราก็ไม่ใช่ หลายคนคิดแบบนี้จึงรู้สึกเฉยๆ กับเหตุการณ์นั้นครับ พูดง่ายๆ ก็คืออะไรที่เกี่ยวข้องกับเรา แม้จะเป็นเรื่องเล็กก็กลับกลายเป็นทุกข์หนักได้ แต่ถ้าอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกับเราก็แทบจะไม่ทุกข์ หรือทุกข์ไม่เป็นเลยเสียด้วยซ้ำ เปรียบเหมือนสิวขึ้นบนใบหน้านั่นแหละครับ คนที่สำอางหน่อย แต่งเนื้อแต่งตัว รักษาผิวพรรณหน้าตาเสมอก็จะทุกข์หนัก ต้องกังวลใจว่าจะหายาหรือครีมชนิดไหนมาทาให้หาย ทุกข์ก็เลยเกิดขึ้นจากเล็กน้อยก็กลายเป็นใหญ่โต ยอมเสียตังค์ได้โดยไม่ลังเล นั้นเพราะทุกข์นั้นมันเกี่ยวข้องกับเราโดยตรง



แต่พอเปรียบเทียบกับคนตายมากมายมหาศาลจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เฮติ หรือเอาง่ายๆ แม้กระทั่งเกิดสึนามิที่ภาคใต้ของประเทศไทย ใครไม่มีญาติพี่น้องหรือคนที่เกี่ยวข้องล้มหายตายจากในครั้งนั้น ก็ไม่เคยเลยที่จะหลั่งน้ำตาหรือทุกข์ทรมานเลยด้วยซ้ำ ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วจะไปกล่าวถึงอะไรกับคนตายในประเทศเฮติล่ะ แต่เดี๋ยวก่อนครับ เรามาลองพิจารณากันดูก่อนมั้ยว่าจริงๆ แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับเราบ้าง ผมเชื่อว่าหากเราพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ด้วย โยนิโสมนสิการ คือการคิดอย่างแยบคาย พิจารณาอย่างถี่ถ้วน เราก็จะได้อะไรหลายๆ อย่างจากเหตุการณ์ที่เฮติ “อารมณ์” ไงครับ สิ่งที่ผมอยากจะพูดถึงในวันนี้ อารมณ์ที่เกิดขึ้นมีอะไรบ้างล่ะ ลองมาสำรวจที่ตัวเราเองดูสิครับ ว่าหลังจากได้เห็นภาพข่าวทางทีวี หรืออ่านหนังสือพิมพ์ เรามีความรู้สึกทุกข์มั้ย? เราสุขรึป่าว? หรือเราเสียใจ หรือว่าเราเฉยๆ อารมณ์เหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็น “ความรู้สึก” ทั้งนั้นแหละครับ วันนี้อยากให้ทุกท่านมาลองพิจารณาความรู้สึกของตัวเองกันนะครับ ว่าอารมณ์ความรู้สึกไหนที่มันเกิดขึ้นแล้วใจเราเป็นอย่างไร เราจะพิจารณาอย่างไร อันนี้สำคัญมากนะครับ เพราะส่วนตัวผมแล้วถือว่าเป็นจุดไคลแมกซ์ของชีวิตเลยแหละ







อารมณ์ มีลักษณะที่ เปลี่ยนแปลง ~ ปรวนแปร ~ เกิด ~ ดับ แถมบางครั้งก็ บีบคั้น อีกต่างหาก ทั้งที่จับต้องไม่ได้ แต่...ส่งผลกับใจเราอย่างรุนแรงทีเดียว ไม่เชื่อก็ลองนึกถึงยามที่คุณอยากได้อะไรบางอย่างแล้วไม่ได้ว่า...ใจเราร้อนรุ่ม แสนกระวนกระวายเพียงใด และ..เพื่อให้ได้บางสิ่งบางอย่างนั้นมา ใจเราก็บีบคั้นตัวเองให้วิ่งตามกิเลส สนองความอยาก..ไม่หยุดหย่อน เดี๋ยวตามสิ่งนี้ เดี๋ยวอยากได้สิ่งนั้น สมคำกล่าวที่ว่า.. “ใจเป็นใหญ่, ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ” อย่างนี้แล้ว ใจที่วิ่งวน เดี๋ยวอยาก เดี๋ยวปฏิเสธ จะเหน็ดเหนื่อย น่าสงสารสักเพียงใด..



ถ้าอารมณ์ทุกข์หรือสุขเกิด เรามองเห็น ก็ให้พิจารณาทุกข์-สุขนั้น อย่าเพิ่งปล่อยให้ใจแสดงอารมณ์ออกมานะครับ อยากให้พิจารณาเป็นขั้นตอนไป นั่นคือ เมื่อเราเห็นทุกข์-สุขแล้ว ใช้ ปัญญา ที่มีมาเป็นอาวุธคู่กายนี่แหละ พิจารณาให้ถ้วนถี่ถึงผลได้ผลเสีย ผลดีผลเลว ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเรา ถ้าเราส่งผ่านอารมณ์นั้นๆ เข้าไปสู่จิตใจของเรา หากว่ากันตามขั้นตอนแล้วมันไม่ยากเลย เหมือนกับการเดินขึ้นบันไดนั่นแหละครับ ก้าวไปทีละขั้น หมั่นพิจารณาแบบนี้ทุกๆ อารมณ์ เราก็จะเข้มแข็งมากขึ้นครับ



หากใครเผลอตัวปล่อยใจให้รับรู้อารมณ์ที่เกิดทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้พิจารณา ปัญญายังไม่ถูกใช้ จนเกิดอารมณ์แสดงออกมา ก็อย่าให้เกิดบ่อยครับ หมั่นฝึกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเดียวก็ชำนาญ อะไรก็ตามที่ฝึกฝนบ่อยๆ จะมีความแคล่วคล่องว่องไว ชำนาญในการรับรู้ พิจารณา ก็จะส่งผลดีกับตัวเราเองนั่นแหละครับ เผลอๆ จะส่งผ่านอารมณ์นั้นๆ ไปให้กับคนรอบตัวได้ด้วย มันเป็นอัตโนมัตินะครับ อารมณ์เนี่ย มองไม่เห็น แต่มันส่งผ่านกันได้ง่ายๆ



ลองสังเกตเวลาที่เรามีความสุข คนรอบข้าง พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน แฟน หรือแม้กระทั่งหมาแมวก็รับรู้ได้ถึงความสุขนั้นได้ แต่หากวันใดอารมณ์บูด ใครจะพูดอะไรก็ไม่เข้าหู อารมณ์ต่างๆ มันจะแผ่ซ่านออกมาจากตัวเราเอง ใครต่างๆ ที่กล่าวถึงข้างต้นก็ล้วนแล้วแต่สัมผัสได้เช่นกัน เผลอๆ หมาแมวไม่เข้าใกล้ด้วยซ้ำ ก็ให้หมั่นฝึกเอาไว้นะครับ อย่าให้อารมณ์เป็นเจ้านายตัวเอง เราต่างหากที่จะต้องเป็นเจ้านายของอารมณ์ มีพุทธวจนะในธรรมบทชิ้นหนึ่งที่กล่าวถึงการฝึกจิตให้เอาชนะอารมณ์ของตนเอง จึงขออาราธนามาปิดท้ายกันวันนี้ครับ ขอให้ท่านผู้อ่านมีปัญญา ได้ดวงตาเห็นธรรม โดยทั่วหน้ากันครับ



อิทํ ปุเร จิตฺตมจาริ จาริกํ

เยนิจฺฉกํ ยตฺถกามํ ยถาสุขํ

ตทชฺชหํ นิคฺคหิสฺสามิ โยนิโส

หตฺถึ ปภินฺนํ วิย องฺกุสคฺคโห ฯ ๓๒๖ ฯ



เมื่อก่อนใจข้าได้ท่องเที่ยวไปในอารมณ์

ตามปรารถนา ตามความใคร่ ตามสบาย

ต่บัดนี้ ข้าจักบังคับมันด้วยโยนิโสมนสิการ

เหมือนควาญช้างถือขอ บังคับช้างที่ตกมัน




Formerly this mind went wandering

Where it liked, as it wished, as it listed.

I will now control it with attentiveness

As the driver with his hook a wild elephant.


ธรรมะสวัสดี

ว่าด้วย “ความรัก”

ว่าด้วย “ความรัก”

วันแห่งความรัก (วันอื่นๆ ไม่ได้รักเหรอ)…เดือนแห่งความรัก (เดือนอื่นๆ ไม่ได้รักเหรอ)…ความรักอยู่ไหน ?…ทำไมต้องถามหาความรัก…จริงๆ แล้ว ควรจะ “หา” ให้เจอมัน…หรือว่า ควรจะ “ทำ” ให้มันมี ?


ถ้าจะพูดกันเรื่องความรัก…อันดับแรก ต้องมาระบุลงไปให้ชัดเจนก่อนว่า เป็นรักของใคร…ความรักที่จะพูดถึงนั้น เป็นความรักของตนเอง หรือเป็นความรักของคนอื่น…และที่ว่าเป็นความรักของตนเองนั้นน่ะ…รักใคร ?…เป็นการรักตนเอง (ตนเองรักตนเอง) หรือเป็นการรักคนอื่น (ตนเองรักคนอื่น)…แล้วที่ว่าเป็นความรักของคนอื่นนั้นก็เช่นกัน…รักใคร ?…เป็นการรักตนเอง (คนอื่นรักตนเอง) หรือ เป็นการรักคนอื่น (คนอื่นรักคนอื่น)…อย่ามาทำหน้างง !!! - อ่านใหม่ซะดีๆ


มางงต่อ…ถ้าจะไปพูดถึงความรักของคนอื่น…ก็จะเป็นแค่ “ดีแต่พูด”…คือเข้าไปจัดการอะไรไม่ได้หรอก…ได้แต่คาดว่า มันน่าจะเป็นอย่างนั้น มันควรจะเป็นอย่างนี้…คนนี้ควรจะไปรักกับคนนั้น คนนั้นไม่ควรจะไปรักกับคนโน้น คนโน้นควรจะมีความรักแบบนี้ ๆ ๆ…วิเคราะห์วิจารณ์กันไปใหญ่โต…แล้วก็…นั่งดูมันต่อไป…ก็จะไปทำอะไรได้เล่า…มันตัวเราที่ไหน มันของเราที่ไหน…ต่อให้มันเป็นตัวเรา เป็นของเรา ก็เถอะ…แล้วไง…จัดการกะมัน “เป็น” รึเปล่า…ร้องไห้ขี้มูกโป่งกันมากี่รอบแล้วล่ะหือ ?…อย่ามาตีหน้าซื่อ ทำไร้เดียงสา - รับสารภาพมาซะดีๆ


เพราะฉะนั้น ถ้าจะพูดถึงความรัก ต้องเป็นความรักของตนเอง “เท่านั้น”…จะได้ไม่ต้องไป “คาดว่า”…เพราะถ้าผิดคาดก็ เป็นทุกข์…หรือถ้าเป็นไปตามคาดก็ อาจจะเป็นสุข…แต่ก็เป็นการรอ “สุข” จากคนอื่นเขาอยู่ดีแหละ-ใช่มั๊ย…ทำไมไม่ทำเองล่ะ ทำไมต้องรอจากคนอื่น…ความสุขของเรา เราทำขึ้นเอง สร้างกันเองก็ได้…มาดูโครงสร้างและวิธีทำความรัก (ของตนเอง)
แบ่งออกเป็น…ตนเองรักตนเอง ๑…ตนเองรักคนอื่น ๑


ตนเองรักตนเอง…ฟังดูเหมือนจะง่ายๆ หรือดูจะคล้ายๆ “เห็นแก่ตัว” แต่นี่คือเบื้องต้นแห่งความรัก…ถ้ารักตนเองยังรักไม่เป็น ก็อย่ามาพูดเลยว่าจะไปรักคนทั้งโลกได้…การรักตนเอง ก็คือการรู้จักดูแลรักษาตนเอง…ทั้งกายและใจ…คือหมั่นทำความสะอาด หมั่นออกกำลัง ทั้งกายและใจ…สรุปว่า…ต้องทำตนเองให้สะอาดและแข็งแรง - ทั้งกายและใจ

ทางกาย - มักจะบอกว่า ก็รู้ๆ กันดี แต่จะมีซักกี่คนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ…เหนื่อย-เมื่อย-เพลีย-ไว้พรุ่งนี้ก็ได้…เรื่องความสะอาดก็เหมือนกัน…อย่าว่าแต่จะอาบน้ำ…พอกลับถึงบ้านก็ดิ่งเข้าห้องนอน พอหัวถึงหมอนก็หลับแล้ว รองเท้ายังไม่ทันถอดเลย…เหนื่อย-เมื่อย-เพลีย-ไว้พรุ่งนี้ก็ได้…สารพัดจะอ้าง…ไม่เคยยอมรับว่าตนเองขี้เกียจ…ไม่เคยยอมรับว่าตนเอง “ไม่รักตนเอง”…นี่แค่ทางกาย !

ทางใจ - มีน้อยคนนักที่จะรู้วิธี “ออกกำลังใจ” หรือ “ทำความสะอาดใจ” อย่างถูกต้อง…และแม้แต่คนที่รู้ก็มักจะพูดว่า…เหนื่อย-เมื่อย-เพลีย-ไว้พรุ่งนี้ก็ได้…ประมาท…ประมาท…ประมาท…อย่าว่าแต่วันถัดไปเลย…แม้แต่วินาทีถัดไปก็ไม่ควรจะผัดผ่อน…เพราะความไม่สะอาด (ทางใจ) และความไม่แข็งแรง (ทางใจ) มันสะสมเข้ามา มันเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดทุกวินาที ทุกขณะ ทุกปัจจุบัน…นี่คือการ “ไม่รักตนเอง” ทางใจ !

ตนเองรักคนอื่น…ฟังดูเหมือนๆ จะยิ่งใหญ่ หรือดูคล้ายๆ จะเสียสละ…แต่ - แน่รึ…คุณรักคนอื่นโดยที่ยังมีคำว่า “เรารักกัน” อยู่รึเปล่า…ถ้ามี ก็แปลว่ายังรอ “เธอรักฉัน” อยู่…ไม่ใช่มีแค่ “ฉันรักเธอ”…เพราะ [เรารักกัน] = [ฉันรักเธอ]+[เธอรักฉัน]…ฉะนั้น ที่ว่า “ตนเองรักคนอื่น” บางทีอาจเป็นแค่ “ตนเองรอรักจากคนอื่น” อยู่ก็ได้…แต่ไม่รู้ตัว…รักที่ยิ่งใหญ่ หรือรักที่เสียสละ หรือรักแท้ที่แท้จริง คือการรักโดยที่ไม่ต้องรอการรักตอบ…รักที่อยากรัก…ไม่ใช่รักที่อยากถูกรัก…เป็นการรักโดยที่ไม่สนใจ ไม่คาดหวัง…ว่าคนที่เรารักจะรักเราตอบ หรือไม่+เมื่อไหร่+แค่ไหน+อย่างไร…เช่น…
  พ่อแม่รักลูก…พ่อแม่ไม่เคยสนใจว่าลูกจะรักตอบหรือไม่
  ในหลวงรักประชาชน…โดยไม่เคยเรียกร้องอะไรจากพสกนิกรของพระองค์เลย
  พระพุทธเจ้ารักพระเทวทัต…รักเท่าๆ กับที่พระองค์รักพระราหุล…พระองค์ไม่เคยสนพระทัยว่าพระเทวทัต จะรักตอบหรือไม่…ยังรัก แม้จะถูกทำร้ายทั้งต่อหน้าและลับหลัง
แต่ ความรักระดับนี้…ต้องใช้เวลาสร้างกันหลายอสงไขย หลายแสนกัป…ถ้ามันเข้าใจยาก ก็เก็บเอาไว้ก่อน…แค่รับรู้ไว้ก่อน…ค่อยๆ สั่งสมบารมีไปเรื่อยๆ…โดยเริ่มจากการรู้จักรักตนเองให้มากขึ้นๆ… แล้วก็จะรู้จักรักคนอื่น มากขึ้น ๆ ๆ…จนถึงที่สุดก็จะรักคนทั้งโลกได้…รักได้แม้กระทั่ง ศัตรู
“ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” เพราะรักนั้น ไม่ใช่รักแท้…รักแท้มีแต่สุข ไม่มีทุกข์เลย…เพราะเป็นรักที่อยากจะมีเมื่อไหร่ อยากจะมีเท่าไหร่ อยากจะมีที่ไหน ก็สร้างขึ้นเองทันใด ไม่ต้องมัวรอจากใคร…เมื่อไม่เคยคาดหวังก็ไม่ต้องผิดหวัง…ไม่เคยผิดหวังก็ไม่ต้องมีทุกข์…เมื่อไม่มีทุกข์ก็คือมีแต่สุข…มีสุขแต่ไม่ใช่แค่สมหวัง…เพราะไม่เคยคาดหวังว่าจะได้เกินหวัง

ลองคิดดูว่า ถ้าทิศทั้ง ๖ :-
  • ทิศเบื้องหน้า :- มารดาบิดารัก (ทำหน้าที่ต่อ) ลูก โดยไม่หวังสิ่ง (รักที่ผิดๆ) ตอบแทน
:- ลูกก็รัก (ทำหน้าที่ต่อ) มารดาบิดา โดยไม่หวังสิ่ง (รักที่ผิดๆ) ตอบแทน
  • ทิศเบื้องขวา :- ครูบาอาจารย์รัก (ทำหน้าที่ต่อ) ศิษย์ โดยไม่หวังสิ่ง (รักที่ผิดๆ) ตอบแทน
:- ศิษย์ก็รัก (ทำหน้าที่ต่อ) ครูบาอาจารย์ โดยไม่หวังสิ่ง (รักที่ผิดๆ) ตอบแทน
  • ทิศเบื้องหลัง :- สามีรัก (ทำหน้าที่ต่อ) ภรรยา โดยไม่หวังสิ่ง (รักที่ผิดๆ) ตอบแทน
:- ภรรยาก็รัก (ทำหน้าที่ต่อ) สามี โดยไม่หวังสิ่ง (รักที่ผิดๆ) ตอบแทน
  • ทิศเบื้องซ้าย :- มิตรก็รัก (ทำหน้าที่ต่อ) ผู้เป็นมิตรกัน โดยไม่หวังสิ่ง (รักที่ผิดๆ) ตอบแทน
  • ทิศเบื้องต่ำ :- เจ้านายรัก (ทำหน้าที่ต่อ) ลูกน้อง โดยไม่หวังสิ่ง (รักที่ผิดๆ) ตอบแทน
:- ลูกน้องก็รัก (ทำหน้าที่ต่อ) เจ้านาย โดยไม่หวังสิ่ง (รักที่ผิดๆ) ตอบแทน
  • ทิศเบื้องบน :- พระสงฆ์รัก (ทำหน้าที่ต่อ) ญาติโยม โดยไม่หวังสิ่ง (รักที่ผิดๆ) ตอบแทน
:- ญาติโยมก็รัก (ทำหน้าที่ต่อ) พระสงฆ์ โดยไม่หวังสิ่ง (รักที่ผิดๆ) ตอบแทน
ถ้าทุกทิศทุกทาง ทุกหนทุกแห่ง มีแต่รักที่ถูกต้อง มีแต่การปฏิบัติหน้าที่ (รัก) ต่อกันอย่างถูกต้อง โลกนี้คงจะมีแต่ความสุข…แต่อย่ารอคนอื่นเลยเลย…มาทำตัวเราเองให้เป็นสุขก่อนดีกว่า…โดยการปฏิบัติหน้าที่ (ปฏิบัติธรรม) ของเราต่อผู้อื่นอย่างถูกต้อง โดยไม่ต้องหวังสิ่งตอบแทน…เพราะ…มันได้อยู่แล้ว ! ? !…
เราทำอะไรเอาไว้ เราก็จะได้อย่างนั้น…จะหวังหรือไม่หวัง มันก็ต้องได้อยู่แล้ว…นี่เป็นกฎตายตัว…กฎแห่งกรรม…ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว…ตัวใครตัวมัน…ถ้ารัก “ตัวเอง” จริง…คงรู้นะ…ว่าต้องทำยังไง
...............................
… ปล. นิยามความรัก : LOVE : แบบโลก ๆ …
L = Lake Of Tears … ทะเลสาบแห่งน้ำตา
O = Ocean Of Sorrow … มหาสมุทรแห่งความเสียใจ
V = Valley Of Death … หุบเหวแห่งความตาย
E = End Of Life … จุดจบแห่งชีวิต