วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

## THE COUNCIL OF THAI BHIKKHU IN THE U.S.A. 2008 ##

วงการสงฆ์ไทยในต่างแดนสุดเศร้า เจ้าอาวาสวัดไทย ในเมืองวิลโดมาร์ สหรัฐอเมริกา อายุยังไม่ถึงครึ่งร้อย ป่วยเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย แต่กำลังใจดีหลังรู้ตัวว่าจะอยู่ดูโลกอีกได้ไม่ถึงเดือน จัดพิธีทำบุญเตรียมตัวลาตาย เพื่ออนุโมทนาบุญกุศลก่อนจากโลกนี้ โดยเชิญคนไทยร่วมทำบุญมหาสังฆทาน

เรื่องราวสะเทือนใจวงการสงฆ์ในต่างแดน เมื่อพระสงฆ์ไทยซึ่งเป็นพระธรรมทูตในสหรัฐอเมริกาป่วยเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย แล้วเตรียมทำบุญลาตายด้วยการเชิญญาติโยมร่วมในพิธีที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 17 ก.พ. โดยมีการฟอร์เวิร์ดเมล์ต่อๆ กันบนอินเตอร์เน็ต แจ้งข่าวการทำบุญลาตายครั้งสุดท้ายของพระธรรมทูตไทยในประเทศสหรัฐอเมริกาว่า นับเป็นเรื่องน่าสลดใจ แต่ก็ชื่นชมในกุศลเจตนาของพระมหาสมโภช ฐิติญาโณ นามสกุล ศรีพันธุ์ วิทยฐานะ ป.ธ.3, พธ.บ. สังกัดวัดเมืองไทย วัดชลประทานรังสฤษฏ์ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ขณะเดียวกันยังดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดรัตนปัญญา เมืองวิลโด มาร์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประกาศเชิญชวนให้ทุกคนไปร่วมทำบุญถวายมหาสังฆทาน พระสงฆ์ 149 รูป เนื่องในวันเจริญมรณสติ หรือทำบุญลาตาย ในวันอาทิตย์ที่ 7 มี.ค. 2553

เนื้อหาในฟอร์เวิร์ดเมล์ระบุถึงสาเหตุการลาตายว่า เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2553 โรงพยาบาล Riverside Hospital Califonia ได้ตรวจพบว่า พระมหาสมโภช ฐิติญาโณ เป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย อาจมีชีวิตอยู่ได้ประมาณหนึ่งเดือน ด้วยเหตุนี้พระมหาสมโภช ฐิติญาโณ ซึ่งเป็นพระภิกษุอาพาธ จึงปรารถนาที่จะทำบุญอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต ก่อนที่ความตายจะมาถึง โดยจะทำบุญถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์จำนวน 149 รูป ในวันอาทิตย์ที่ 7 มี.ค. 2553 นี้ ที่วัดรัตนปัญญา

สำหรับกำหนดการทำบุญลาตายของพระมหาสมโภช ซึ่งได้มีการจัดพิมพ์เอกสารแจกจ่ายไปทั่ว ระบุว่าวันที่ 7 มี.ค.2553 เวลา 09.30 น. พระสงฆ์จำนวน 149 รูป เจริญพระพุทธมนต์ ธัมมจักกัปปวัตนสูตร เวลา 10.30น.พระสงฆ์ 49 รูป ออกรับบิณฑบาต เวลา 11.00 น. ถวายภัตตาหารเพล แด่พระสงฆ์ 149 รูป เวลา 13.00 น. แสดงพระธรรมเทศนาเรื่องเตรียมตัวก่อนตาย โดยพระวิเทศธรรมรังษี (หลวงตาชี) เวลา 14.00 น. พระสงฆ์มาติกาบังสุกุล/ถวายมหาสังฆทาน พระสงฆ์อนุโมทนา/กรวดน้ำรับพรเป็นเสร็จพิธี

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 2 ก.พ. ในเว็บไซต์ alittlebuddha.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์วงการสงฆ์ของคนไทยในลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา เคยรายงานข่าวชิ้นนี้ว่า ได้รับการเปิดเผยขึ้นในการประชุมสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา ที่วัดมงคลรัตนาราม เมืองแทมปา รัฐฟลอริดา เมื่อวันที่ 22 มกราคม 53 ว่า พระมหาสมโภช ฐิติญาโณ ไม่สามารถไปร่วมประชุมได้ เพราะต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลกะทันหัน จากอาการปวดท้องและอาเจียนอย่างรุนแรง เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ตกเย็นเวลา 19.00 น. เห็นว่าอาการคงจะอันตราย พระสงฆ์วัดรัตนปัญญาและญาติโยมจึงนำส่งโรงพยาบาลริเวอร์ไซด์ ทราบจากหมอว่าเป็นมะเร็งในตับ อาการอยู่ในขั้นที่ 4 การเดินทางไปร่วมประชุมสมัชชาสงฆ์ไทยจึงถูกตัดออกไปโดยปริยาย

ในเว็บไซต์ระบุว่าได้มีการสัมภาษณ์พระมหามานพ ปญฺญาวชิโร พระอาวุโสในวัดรัตนปัญญา ว่า มีผู้เสนอให้นำตัวกลับไปรักษาที่เมืองไทย แต่ช่วงนี้ยังไม่สามารถเดินทางได้ คณะสงฆ์และญาติโยมจึงจะขอนำตัวท่านเจ้าอาวาสออกจากโรงพยาบาล เพื่อมาบำบัดด้วยวิธีแผนโบราณที่วัดรัตนปัญญา ขณะที่พระสมโภชยังหัวเราะพูดคุยได้สบายๆ ทั้งที่อาการอยู่ในขั้นสุดท้าย พร้อมบอกว่า ลูกศิษย์ปัญญานันทะซะอย่าง ไม่เคยกลัวตาย

ด้านพระครูศรีวิเทศธรรมคุณ เจ้าอาวาสวัดสุทธาวาส เมืองริเวอร์ไซด์ ในฐานะรองเลขาธิการสมัชชาสงฆ์ไทยฯ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวไทยรัฐที่โทรศัพท์ข้ามประเทศไปสอบถามว่า พระมหาสมโภช เป็นพระนักวิชาการ เป็นพระดี เป็นที่รักของพระผู้ใหญ่และเพื่อนๆ อีกทั้งมีลูกศิษย์ลูกหาและผู้เคารพนับถือมากมาย ทราบว่ามีพระบางรูปเดินทางไปเยี่ยมท่านแล้ว เขาบอกว่ากำลังใจของท่านดีมาก ยังหัวเราะได้ ปฏิเสธที่จะรักษาด้วยการใช้เคมีบำบัด แต่ใช้วิธีรักษาแบบธรรมชาติแทน

พระมหาธวัชชัย คุณากโร พระธรรมทูตสายต่างประเทศ วัดชลประทานรังสฤษฏ์ จ.นนทบุรี และเจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญา นันทาราม เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ซึ่งมีความสนิทสนมกันกล่าวว่า พระมหาสมโภช เป็นพระธรรมทูตสายต่างประเทศรุ่นที่ 1 จากวัดชลประทาน รังสฤษฏ์ ปัจจุบันอายุ 48 ปี ก่อนเดินทางมาสร้างวัดรัตนปัญญา ในเมืองวิลโดม่าร์ เคยสังกัดวัดพุทธธรรม เมืองฮินส์เดล รัฐอิลลินอยส์ มาก่อน ขณะนี้กำลังศึกษาปริญญาเอกอยู่ที่ยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ เดอะ เวสท์ เมืองโรสมีด ทราบจากเพื่อนพระสงฆ์ที่สหรัฐอเมริกาว่า ท่านป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน แต่ กำลังใจดีมาก เพราะยึดตามแนวคำสอนของท่านพุทธทาส และทราบว่าได้เตรียมทำบุญลาตายครั้งสุดท้าย ถือว่ามีจิตใจเข้มแข็งมาก แสดงให้เห็นแล้วว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา

ขอกุศล ผลบุญ หนุนประชิด
จงออกฤทธิ์ พิชิตภัย ให้เหือดหาย
สรรพทุกข์ สรรพโศก พร้อมโรคภัย
จงเหือดหาย ไปเสียสิ้น จากอินทรีย์

ขออำนาจ คุณพระพุทธ พิสุทธิ์ล้ำ
คุณพระธรรม พร้อมพระสงฆ์ ผู้ทรงศีล์
จงบันดาล ให้โรคฝ่อ ต่อชีวี
จงอย่ามี อวสาน ผ่านพ้นภัย

ถึงไม่หาย จงทุเลา เพลากำลัง
พอเป็นทาง ให้ลุถึง ซึ่งเป้าหมาย
ได้ประกาศ ศาสนา พระจอมไตร
เป็นแรงใจ ของโยมญาติ ประกาศธรรม...เทอญ

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

“ โอกาส ”


สมัยเป็นนักศึกษาเรียนอยู่ที่ประเทศอินเดีย ได้พักอาศัยอยู่ที่วัดไทยพุทธคยา ที่หน้ากุฏิของหลวงพ่อเจ้าอาวาสมีกลอนบทหนึ่งเขียนติดไว้ว่า “สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม คนหนึ่งตามแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวพราย”
ทำไมผู้เขียนจึงเกริ่นนำด้วยกลอนบทนี้ เพราะมันเกี่ยวพันกับบทความที่กำลังจะเขียนนะซิครับ มาดูว่าเกี่ยวยังไง เกิดเมืองไทย ไปอินเดีย จากอินเดีย และมาอเมริกา ไปอยู่ที่ไหนก็รู้สึกรักและผูกพันกับประเทศนั้นเสมือนหนึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตน ผู้เขียนมองเห็นทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีของแต่ละที่ เราต้องยอมรับอย่างปฏิเสธไม่ได้ว่า แต่ละที่แต่ละแห่งต่างก็มีจุดดีและจุดด้อยแตกต่างกันไป ไม่มีที่ไหนที่สมบูรณ์แบบที่สุดหรอก ว่าไหม ? เพราะคนเรายังไม่สมบูรณ์ แต่ประโยชน์อะไรกับการมองในแง่ร้ายเล่า เรามองหาจุดดีของแต่ละที่ดีกว่าไหม เรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้นแล้วนำมาปฏิบัติตามจะไม่ดีเหรอ เรียกว่า “ ร่อนแร่หาทอง ”
ทำไมเขียนเกี่ยวกับอเมริกาละ เพราะตอนนี้อยู่อเมริกา และที่สำคัญอยากให้เรียนรู้ร่วมกันว่า เหตุใดประเทศแห่งนี้ จึงสามารถพัฒนาจนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของโลกได้ในยุคปัจจุบัน ผู้เขียนคิดว่า ถ้าไม่มีอะไรดี หรือไม่แน่จริง คงไม่สามารถพัฒนาได้ขนาดนี้หรอก แล้วอะไรละที่เป็นคุณสมบัติเหล่านั้น เป็นสิ่งที่เราต้องมาศึกษาและเรียนรู้ร่วมกัน
ในตอนแรกนี้ อยากจะพาไปรู้จักอเมริกาว่า ทำไม อเมริกา จึงเป็นจุดหมายปลายทางของชนหลายชาติ หลากภาษา (America destination) ซึ่งต่อมามีคำเรียกประเทศแห่งนี้ว่า เป็นเบ้าหลอมทางเชื้อชาติ วัฒนธรรมประเพณีจากที่ต่างๆ ทั่วโลก(Melting Pot) หรือถ้าเป็นคนอังกฤษก็จะเรียกประเทศแห่งนี้ว่า โลกใหม่ (New World) ผู้เขียนเคยดูสารคดีเรื่อง จุดหมายปลายทาง คือ อเมริกา(America Destination)ในสารคดีนั้นมีเรื่องราวของคนจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกว่า เหตุใดเขาจึงพากันอพยพมาอยู่ ณ ประเทศแห่งนี้ บางคนหนีความยากจน บางคนหนีภัยการเมือง บางคนหนีปัญหาการกดขี่ทางเชื้อชาติ ศาสนา เพราะพวกเขาเชื่อว่าประเทศแห่งนี้มีโอกาสในการเริ่มต้นใหม่ได้
มีประโยคฮิตที่ใช้ประกาศอิสรภาพของประเทศอเมริกาที่เขียนโดยโทมัส เจฟเฟอสัน(Thomas Jefferson)ประธานาธิบดีคนที่ ๓ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ว่า มนุษย์ทุกคนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน (All men are created equal)ในด้านสิทธิเสรีภาพ หรือถ้าจะพูดว่า ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพจะทำอะไรก็ได้ที่ไม่ขัดกับตัวบทกฎหมายของบ้านเมือง
โอกาสถือว่าเป็นคำยิ่งใหญ่ในประเทศอเมริกานี้ เพราะทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันในการที่จะคิด พูด และทำในสิ่งที่ไม่ขัดกับกฏหมายบ้านเมือง ผู้เขียนชื่นชมสังคมแห่งนี้ที่ยกย่องชื่นชมคนเก่งและให้เกียรติคนดี อย่างคำพระท่านว่า “ นิคคัณเห นิคคะหาระหัง ปัคคัณเห ปัคคะหาระหัง ข่มคนที่ควรข่ม ยกย่องคนที่ควรยกย่อง ”
คนทำความดีก็ต้องยกย่องสรรเสริญ คนเก่งก็ต้องให้เกียรติ เพราะการทำอย่างนี้จะเป็นการให้กำลังใจคนดีและคนเก่ง ให้รักษาความดีและพัฒนาความสามารถของตนยิ่งๆ ขึ้นไป คนในสังคมจะเป็นอย่างไร ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับค่านิยมที่สังคมกำหนดให้ด้วย สังคมจึงควรนิยมคนเก่งและดี เพื่อที่จะได้เป็นตัวอย่างแก่คนอื่นยิ่งๆ ขึ้นไป
เมื่อนายโบรัค โอบามา ประธานาธิบดีคนปัจจุบันเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ ๔๔ ของอเมริกา นั้นเป็นข้อพิสูจน์คำว่า โอกาส ได้ดีที่สุด เพราะถ้าทุกคนในประเทศแห่งนี้มีความเพียรพยายามและตั้งใจจริงที่จะทำหรือเป็นอะไร ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำหรือเป็น
คำว่า โอกาส คำนี้จึงเป็นคำที่คนในประเทศแห่งนี้ยกย่องเชิดชู พร้อมทั้งเปิดทางให้แก่คนที่ชอบแสวงหาโอกาส คนเราทุกคนควรจะให้โอกาสแก่ตนเองและผู้อื่น และควรแสวงหาโอกาสที่จะทำสิ่งดีๆ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของตน แต่อย่ามัวรอให้โอกาสวิ่งเข้ามาหาเราอย่างเดียวละ ควรจะเดินเข้าไปโอกาสด้วย
ท่านผู้อ่านละ คิดเหมือนกันไหม ?

ดวงตาเห็นธรรม@ธรรมะทูโก

สุข-ทุกข์ อารมณ์ความรู้สึกที่เป็นสากล




วันนี้อยากจะเล่าถึงความรู้สึกของผมเองนะครับ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งที่เห็นอารมณ์ความรู้สึกของตนเองได้ชัดเจนสุดที่ก็น่าจะเป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงที่เฮตินั่นแหละครับ แม้ว่าจะผ่านไปนานนับเดือนแล้วก็ตาม แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผมและใครหลายๆ คนนั้นยังมิอาจลืมเลือนไปได้เลย ถึงแม้จะพิจารณาให้เห็นถึงสัจธรรมที่ว่า ทุกชีวิตล้วนแล้วแต่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ตามที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์เคยพร่ำสอนมา แต่ก็มิอดมิได้ครับที่อารมณ์แห่งความทุกข์มันผุดขึ้นมานั่งอยู่กลางใจ จนไม่อาจที่จะอยู่นิ่งเฉยได้ ทั้งพยายามช่วยเหลือในสิ่งที่ตัวผมเองพอจะทำได้บ้าง ด้วยการบริจาคเงินแก่ผู้ประสบภัยในนามสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา จำนวน ๑๐๐ เหรียญสหรัฐ ซึ่งหากจะว่าไปแล้วก็เป็นเพียงจำนวนเงินอันน้อยนิดก็ตามที แต่ก็ทำให้สบายใจได้ว่า เราก็เป็นคนหนึ่งที่ขอมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้น



มีคนกล่าวว่า “ความรู้สึก” หรือ Sentiment ถือว่าเป็นสากล หรือเป็นความรู้สึกมวลรวมที่ขอเรียกว่า GNS (Gross Nation Sentiment) ที่ไม่แบ่งแยกว่าคุณจะเชื้อชาติ ผิวพรรณ ภาษา ศาสนา เพศ หรือวัยใดก็ตาม แม้กระทั่งสัตว์ใหญ่น้อยก็ย่อมมีความรู้สึกที่เป็นสากลนี้เช่นกัน ที่กล่าวเช่นนี้หมายถึงว่าไม่มีความสุข, เศร้า, เหงา, ทุกข์ ฯลฯ แบบพุทธ คริสต์ อิสลาม หรือศาสนาอื่นใด หากแต่เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นสากล ที่ทุกคนล้วนแล้วแต่เคยประสบพบเจอและสัมผัสมาบ้างไม่มากก็น้อยแตกต่างกันไปตามเหตุปัจจัย เช่น หากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้หากมีพ่อ แม่ เพื่อน แฟน หรือกิ๊กรวมอยู่ในนั้นด้วย เราก็จะรู้สึกถึงทุกข์ร้อนก้อนขนาดใหญ่เกิดขึ้นคับอกคับใจของเรา จนแทบที่จะทนทานไหว บางคนก็ต้องร้องไห้ฟูมฟาย เสียอกเสียใจกันไปนานแสนนาน



แต่ในขณะเดียวกันหากไม่มีบุคคลอันเป็นที่รักดังกล่าว หรือเราไม่รู้จักใครเลยในประเทศเฮติ ความทุกข์มันก็จะเล็กไปหรืออาจจะไม่ทุกข์ด้วยซ้ำ เพราะอะไรนะหรือครับ เพราะว่ามันเกิดขึ้นไกล ญาติพี่น้องเราก็ไม่ใช่ หลายคนคิดแบบนี้จึงรู้สึกเฉยๆ กับเหตุการณ์นั้นครับ พูดง่ายๆ ก็คืออะไรที่เกี่ยวข้องกับเรา แม้จะเป็นเรื่องเล็กก็กลับกลายเป็นทุกข์หนักได้ แต่ถ้าอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกับเราก็แทบจะไม่ทุกข์ หรือทุกข์ไม่เป็นเลยเสียด้วยซ้ำ เปรียบเหมือนสิวขึ้นบนใบหน้านั่นแหละครับ คนที่สำอางหน่อย แต่งเนื้อแต่งตัว รักษาผิวพรรณหน้าตาเสมอก็จะทุกข์หนัก ต้องกังวลใจว่าจะหายาหรือครีมชนิดไหนมาทาให้หาย ทุกข์ก็เลยเกิดขึ้นจากเล็กน้อยก็กลายเป็นใหญ่โต ยอมเสียตังค์ได้โดยไม่ลังเล นั้นเพราะทุกข์นั้นมันเกี่ยวข้องกับเราโดยตรง



แต่พอเปรียบเทียบกับคนตายมากมายมหาศาลจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เฮติ หรือเอาง่ายๆ แม้กระทั่งเกิดสึนามิที่ภาคใต้ของประเทศไทย ใครไม่มีญาติพี่น้องหรือคนที่เกี่ยวข้องล้มหายตายจากในครั้งนั้น ก็ไม่เคยเลยที่จะหลั่งน้ำตาหรือทุกข์ทรมานเลยด้วยซ้ำ ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วจะไปกล่าวถึงอะไรกับคนตายในประเทศเฮติล่ะ แต่เดี๋ยวก่อนครับ เรามาลองพิจารณากันดูก่อนมั้ยว่าจริงๆ แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับเราบ้าง ผมเชื่อว่าหากเราพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ด้วย โยนิโสมนสิการ คือการคิดอย่างแยบคาย พิจารณาอย่างถี่ถ้วน เราก็จะได้อะไรหลายๆ อย่างจากเหตุการณ์ที่เฮติ “อารมณ์” ไงครับ สิ่งที่ผมอยากจะพูดถึงในวันนี้ อารมณ์ที่เกิดขึ้นมีอะไรบ้างล่ะ ลองมาสำรวจที่ตัวเราเองดูสิครับ ว่าหลังจากได้เห็นภาพข่าวทางทีวี หรืออ่านหนังสือพิมพ์ เรามีความรู้สึกทุกข์มั้ย? เราสุขรึป่าว? หรือเราเสียใจ หรือว่าเราเฉยๆ อารมณ์เหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็น “ความรู้สึก” ทั้งนั้นแหละครับ วันนี้อยากให้ทุกท่านมาลองพิจารณาความรู้สึกของตัวเองกันนะครับ ว่าอารมณ์ความรู้สึกไหนที่มันเกิดขึ้นแล้วใจเราเป็นอย่างไร เราจะพิจารณาอย่างไร อันนี้สำคัญมากนะครับ เพราะส่วนตัวผมแล้วถือว่าเป็นจุดไคลแมกซ์ของชีวิตเลยแหละ







อารมณ์ มีลักษณะที่ เปลี่ยนแปลง ~ ปรวนแปร ~ เกิด ~ ดับ แถมบางครั้งก็ บีบคั้น อีกต่างหาก ทั้งที่จับต้องไม่ได้ แต่...ส่งผลกับใจเราอย่างรุนแรงทีเดียว ไม่เชื่อก็ลองนึกถึงยามที่คุณอยากได้อะไรบางอย่างแล้วไม่ได้ว่า...ใจเราร้อนรุ่ม แสนกระวนกระวายเพียงใด และ..เพื่อให้ได้บางสิ่งบางอย่างนั้นมา ใจเราก็บีบคั้นตัวเองให้วิ่งตามกิเลส สนองความอยาก..ไม่หยุดหย่อน เดี๋ยวตามสิ่งนี้ เดี๋ยวอยากได้สิ่งนั้น สมคำกล่าวที่ว่า.. “ใจเป็นใหญ่, ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ” อย่างนี้แล้ว ใจที่วิ่งวน เดี๋ยวอยาก เดี๋ยวปฏิเสธ จะเหน็ดเหนื่อย น่าสงสารสักเพียงใด..



ถ้าอารมณ์ทุกข์หรือสุขเกิด เรามองเห็น ก็ให้พิจารณาทุกข์-สุขนั้น อย่าเพิ่งปล่อยให้ใจแสดงอารมณ์ออกมานะครับ อยากให้พิจารณาเป็นขั้นตอนไป นั่นคือ เมื่อเราเห็นทุกข์-สุขแล้ว ใช้ ปัญญา ที่มีมาเป็นอาวุธคู่กายนี่แหละ พิจารณาให้ถ้วนถี่ถึงผลได้ผลเสีย ผลดีผลเลว ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเรา ถ้าเราส่งผ่านอารมณ์นั้นๆ เข้าไปสู่จิตใจของเรา หากว่ากันตามขั้นตอนแล้วมันไม่ยากเลย เหมือนกับการเดินขึ้นบันไดนั่นแหละครับ ก้าวไปทีละขั้น หมั่นพิจารณาแบบนี้ทุกๆ อารมณ์ เราก็จะเข้มแข็งมากขึ้นครับ



หากใครเผลอตัวปล่อยใจให้รับรู้อารมณ์ที่เกิดทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้พิจารณา ปัญญายังไม่ถูกใช้ จนเกิดอารมณ์แสดงออกมา ก็อย่าให้เกิดบ่อยครับ หมั่นฝึกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเดียวก็ชำนาญ อะไรก็ตามที่ฝึกฝนบ่อยๆ จะมีความแคล่วคล่องว่องไว ชำนาญในการรับรู้ พิจารณา ก็จะส่งผลดีกับตัวเราเองนั่นแหละครับ เผลอๆ จะส่งผ่านอารมณ์นั้นๆ ไปให้กับคนรอบตัวได้ด้วย มันเป็นอัตโนมัตินะครับ อารมณ์เนี่ย มองไม่เห็น แต่มันส่งผ่านกันได้ง่ายๆ



ลองสังเกตเวลาที่เรามีความสุข คนรอบข้าง พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน แฟน หรือแม้กระทั่งหมาแมวก็รับรู้ได้ถึงความสุขนั้นได้ แต่หากวันใดอารมณ์บูด ใครจะพูดอะไรก็ไม่เข้าหู อารมณ์ต่างๆ มันจะแผ่ซ่านออกมาจากตัวเราเอง ใครต่างๆ ที่กล่าวถึงข้างต้นก็ล้วนแล้วแต่สัมผัสได้เช่นกัน เผลอๆ หมาแมวไม่เข้าใกล้ด้วยซ้ำ ก็ให้หมั่นฝึกเอาไว้นะครับ อย่าให้อารมณ์เป็นเจ้านายตัวเอง เราต่างหากที่จะต้องเป็นเจ้านายของอารมณ์ มีพุทธวจนะในธรรมบทชิ้นหนึ่งที่กล่าวถึงการฝึกจิตให้เอาชนะอารมณ์ของตนเอง จึงขออาราธนามาปิดท้ายกันวันนี้ครับ ขอให้ท่านผู้อ่านมีปัญญา ได้ดวงตาเห็นธรรม โดยทั่วหน้ากันครับ



อิทํ ปุเร จิตฺตมจาริ จาริกํ

เยนิจฺฉกํ ยตฺถกามํ ยถาสุขํ

ตทชฺชหํ นิคฺคหิสฺสามิ โยนิโส

หตฺถึ ปภินฺนํ วิย องฺกุสคฺคโห ฯ ๓๒๖ ฯ



เมื่อก่อนใจข้าได้ท่องเที่ยวไปในอารมณ์

ตามปรารถนา ตามความใคร่ ตามสบาย

ต่บัดนี้ ข้าจักบังคับมันด้วยโยนิโสมนสิการ

เหมือนควาญช้างถือขอ บังคับช้างที่ตกมัน




Formerly this mind went wandering

Where it liked, as it wished, as it listed.

I will now control it with attentiveness

As the driver with his hook a wild elephant.


ธรรมะสวัสดี

ว่าด้วย “ความรัก”

ว่าด้วย “ความรัก”

วันแห่งความรัก (วันอื่นๆ ไม่ได้รักเหรอ)…เดือนแห่งความรัก (เดือนอื่นๆ ไม่ได้รักเหรอ)…ความรักอยู่ไหน ?…ทำไมต้องถามหาความรัก…จริงๆ แล้ว ควรจะ “หา” ให้เจอมัน…หรือว่า ควรจะ “ทำ” ให้มันมี ?


ถ้าจะพูดกันเรื่องความรัก…อันดับแรก ต้องมาระบุลงไปให้ชัดเจนก่อนว่า เป็นรักของใคร…ความรักที่จะพูดถึงนั้น เป็นความรักของตนเอง หรือเป็นความรักของคนอื่น…และที่ว่าเป็นความรักของตนเองนั้นน่ะ…รักใคร ?…เป็นการรักตนเอง (ตนเองรักตนเอง) หรือเป็นการรักคนอื่น (ตนเองรักคนอื่น)…แล้วที่ว่าเป็นความรักของคนอื่นนั้นก็เช่นกัน…รักใคร ?…เป็นการรักตนเอง (คนอื่นรักตนเอง) หรือ เป็นการรักคนอื่น (คนอื่นรักคนอื่น)…อย่ามาทำหน้างง !!! - อ่านใหม่ซะดีๆ


มางงต่อ…ถ้าจะไปพูดถึงความรักของคนอื่น…ก็จะเป็นแค่ “ดีแต่พูด”…คือเข้าไปจัดการอะไรไม่ได้หรอก…ได้แต่คาดว่า มันน่าจะเป็นอย่างนั้น มันควรจะเป็นอย่างนี้…คนนี้ควรจะไปรักกับคนนั้น คนนั้นไม่ควรจะไปรักกับคนโน้น คนโน้นควรจะมีความรักแบบนี้ ๆ ๆ…วิเคราะห์วิจารณ์กันไปใหญ่โต…แล้วก็…นั่งดูมันต่อไป…ก็จะไปทำอะไรได้เล่า…มันตัวเราที่ไหน มันของเราที่ไหน…ต่อให้มันเป็นตัวเรา เป็นของเรา ก็เถอะ…แล้วไง…จัดการกะมัน “เป็น” รึเปล่า…ร้องไห้ขี้มูกโป่งกันมากี่รอบแล้วล่ะหือ ?…อย่ามาตีหน้าซื่อ ทำไร้เดียงสา - รับสารภาพมาซะดีๆ


เพราะฉะนั้น ถ้าจะพูดถึงความรัก ต้องเป็นความรักของตนเอง “เท่านั้น”…จะได้ไม่ต้องไป “คาดว่า”…เพราะถ้าผิดคาดก็ เป็นทุกข์…หรือถ้าเป็นไปตามคาดก็ อาจจะเป็นสุข…แต่ก็เป็นการรอ “สุข” จากคนอื่นเขาอยู่ดีแหละ-ใช่มั๊ย…ทำไมไม่ทำเองล่ะ ทำไมต้องรอจากคนอื่น…ความสุขของเรา เราทำขึ้นเอง สร้างกันเองก็ได้…มาดูโครงสร้างและวิธีทำความรัก (ของตนเอง)
แบ่งออกเป็น…ตนเองรักตนเอง ๑…ตนเองรักคนอื่น ๑


ตนเองรักตนเอง…ฟังดูเหมือนจะง่ายๆ หรือดูจะคล้ายๆ “เห็นแก่ตัว” แต่นี่คือเบื้องต้นแห่งความรัก…ถ้ารักตนเองยังรักไม่เป็น ก็อย่ามาพูดเลยว่าจะไปรักคนทั้งโลกได้…การรักตนเอง ก็คือการรู้จักดูแลรักษาตนเอง…ทั้งกายและใจ…คือหมั่นทำความสะอาด หมั่นออกกำลัง ทั้งกายและใจ…สรุปว่า…ต้องทำตนเองให้สะอาดและแข็งแรง - ทั้งกายและใจ

ทางกาย - มักจะบอกว่า ก็รู้ๆ กันดี แต่จะมีซักกี่คนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ…เหนื่อย-เมื่อย-เพลีย-ไว้พรุ่งนี้ก็ได้…เรื่องความสะอาดก็เหมือนกัน…อย่าว่าแต่จะอาบน้ำ…พอกลับถึงบ้านก็ดิ่งเข้าห้องนอน พอหัวถึงหมอนก็หลับแล้ว รองเท้ายังไม่ทันถอดเลย…เหนื่อย-เมื่อย-เพลีย-ไว้พรุ่งนี้ก็ได้…สารพัดจะอ้าง…ไม่เคยยอมรับว่าตนเองขี้เกียจ…ไม่เคยยอมรับว่าตนเอง “ไม่รักตนเอง”…นี่แค่ทางกาย !

ทางใจ - มีน้อยคนนักที่จะรู้วิธี “ออกกำลังใจ” หรือ “ทำความสะอาดใจ” อย่างถูกต้อง…และแม้แต่คนที่รู้ก็มักจะพูดว่า…เหนื่อย-เมื่อย-เพลีย-ไว้พรุ่งนี้ก็ได้…ประมาท…ประมาท…ประมาท…อย่าว่าแต่วันถัดไปเลย…แม้แต่วินาทีถัดไปก็ไม่ควรจะผัดผ่อน…เพราะความไม่สะอาด (ทางใจ) และความไม่แข็งแรง (ทางใจ) มันสะสมเข้ามา มันเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดทุกวินาที ทุกขณะ ทุกปัจจุบัน…นี่คือการ “ไม่รักตนเอง” ทางใจ !

ตนเองรักคนอื่น…ฟังดูเหมือนๆ จะยิ่งใหญ่ หรือดูคล้ายๆ จะเสียสละ…แต่ - แน่รึ…คุณรักคนอื่นโดยที่ยังมีคำว่า “เรารักกัน” อยู่รึเปล่า…ถ้ามี ก็แปลว่ายังรอ “เธอรักฉัน” อยู่…ไม่ใช่มีแค่ “ฉันรักเธอ”…เพราะ [เรารักกัน] = [ฉันรักเธอ]+[เธอรักฉัน]…ฉะนั้น ที่ว่า “ตนเองรักคนอื่น” บางทีอาจเป็นแค่ “ตนเองรอรักจากคนอื่น” อยู่ก็ได้…แต่ไม่รู้ตัว…รักที่ยิ่งใหญ่ หรือรักที่เสียสละ หรือรักแท้ที่แท้จริง คือการรักโดยที่ไม่ต้องรอการรักตอบ…รักที่อยากรัก…ไม่ใช่รักที่อยากถูกรัก…เป็นการรักโดยที่ไม่สนใจ ไม่คาดหวัง…ว่าคนที่เรารักจะรักเราตอบ หรือไม่+เมื่อไหร่+แค่ไหน+อย่างไร…เช่น…
  พ่อแม่รักลูก…พ่อแม่ไม่เคยสนใจว่าลูกจะรักตอบหรือไม่
  ในหลวงรักประชาชน…โดยไม่เคยเรียกร้องอะไรจากพสกนิกรของพระองค์เลย
  พระพุทธเจ้ารักพระเทวทัต…รักเท่าๆ กับที่พระองค์รักพระราหุล…พระองค์ไม่เคยสนพระทัยว่าพระเทวทัต จะรักตอบหรือไม่…ยังรัก แม้จะถูกทำร้ายทั้งต่อหน้าและลับหลัง
แต่ ความรักระดับนี้…ต้องใช้เวลาสร้างกันหลายอสงไขย หลายแสนกัป…ถ้ามันเข้าใจยาก ก็เก็บเอาไว้ก่อน…แค่รับรู้ไว้ก่อน…ค่อยๆ สั่งสมบารมีไปเรื่อยๆ…โดยเริ่มจากการรู้จักรักตนเองให้มากขึ้นๆ… แล้วก็จะรู้จักรักคนอื่น มากขึ้น ๆ ๆ…จนถึงที่สุดก็จะรักคนทั้งโลกได้…รักได้แม้กระทั่ง ศัตรู
“ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” เพราะรักนั้น ไม่ใช่รักแท้…รักแท้มีแต่สุข ไม่มีทุกข์เลย…เพราะเป็นรักที่อยากจะมีเมื่อไหร่ อยากจะมีเท่าไหร่ อยากจะมีที่ไหน ก็สร้างขึ้นเองทันใด ไม่ต้องมัวรอจากใคร…เมื่อไม่เคยคาดหวังก็ไม่ต้องผิดหวัง…ไม่เคยผิดหวังก็ไม่ต้องมีทุกข์…เมื่อไม่มีทุกข์ก็คือมีแต่สุข…มีสุขแต่ไม่ใช่แค่สมหวัง…เพราะไม่เคยคาดหวังว่าจะได้เกินหวัง

ลองคิดดูว่า ถ้าทิศทั้ง ๖ :-
  • ทิศเบื้องหน้า :- มารดาบิดารัก (ทำหน้าที่ต่อ) ลูก โดยไม่หวังสิ่ง (รักที่ผิดๆ) ตอบแทน
:- ลูกก็รัก (ทำหน้าที่ต่อ) มารดาบิดา โดยไม่หวังสิ่ง (รักที่ผิดๆ) ตอบแทน
  • ทิศเบื้องขวา :- ครูบาอาจารย์รัก (ทำหน้าที่ต่อ) ศิษย์ โดยไม่หวังสิ่ง (รักที่ผิดๆ) ตอบแทน
:- ศิษย์ก็รัก (ทำหน้าที่ต่อ) ครูบาอาจารย์ โดยไม่หวังสิ่ง (รักที่ผิดๆ) ตอบแทน
  • ทิศเบื้องหลัง :- สามีรัก (ทำหน้าที่ต่อ) ภรรยา โดยไม่หวังสิ่ง (รักที่ผิดๆ) ตอบแทน
:- ภรรยาก็รัก (ทำหน้าที่ต่อ) สามี โดยไม่หวังสิ่ง (รักที่ผิดๆ) ตอบแทน
  • ทิศเบื้องซ้าย :- มิตรก็รัก (ทำหน้าที่ต่อ) ผู้เป็นมิตรกัน โดยไม่หวังสิ่ง (รักที่ผิดๆ) ตอบแทน
  • ทิศเบื้องต่ำ :- เจ้านายรัก (ทำหน้าที่ต่อ) ลูกน้อง โดยไม่หวังสิ่ง (รักที่ผิดๆ) ตอบแทน
:- ลูกน้องก็รัก (ทำหน้าที่ต่อ) เจ้านาย โดยไม่หวังสิ่ง (รักที่ผิดๆ) ตอบแทน
  • ทิศเบื้องบน :- พระสงฆ์รัก (ทำหน้าที่ต่อ) ญาติโยม โดยไม่หวังสิ่ง (รักที่ผิดๆ) ตอบแทน
:- ญาติโยมก็รัก (ทำหน้าที่ต่อ) พระสงฆ์ โดยไม่หวังสิ่ง (รักที่ผิดๆ) ตอบแทน
ถ้าทุกทิศทุกทาง ทุกหนทุกแห่ง มีแต่รักที่ถูกต้อง มีแต่การปฏิบัติหน้าที่ (รัก) ต่อกันอย่างถูกต้อง โลกนี้คงจะมีแต่ความสุข…แต่อย่ารอคนอื่นเลยเลย…มาทำตัวเราเองให้เป็นสุขก่อนดีกว่า…โดยการปฏิบัติหน้าที่ (ปฏิบัติธรรม) ของเราต่อผู้อื่นอย่างถูกต้อง โดยไม่ต้องหวังสิ่งตอบแทน…เพราะ…มันได้อยู่แล้ว ! ? !…
เราทำอะไรเอาไว้ เราก็จะได้อย่างนั้น…จะหวังหรือไม่หวัง มันก็ต้องได้อยู่แล้ว…นี่เป็นกฎตายตัว…กฎแห่งกรรม…ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว…ตัวใครตัวมัน…ถ้ารัก “ตัวเอง” จริง…คงรู้นะ…ว่าต้องทำยังไง
...............................
… ปล. นิยามความรัก : LOVE : แบบโลก ๆ …
L = Lake Of Tears … ทะเลสาบแห่งน้ำตา
O = Ocean Of Sorrow … มหาสมุทรแห่งความเสียใจ
V = Valley Of Death … หุบเหวแห่งความตาย
E = End Of Life … จุดจบแห่งชีวิต

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

หน้าตาไม่ดีไม่ควรให้เป็นใหญ่



ในอดีตกาล ครั้งปฐมกัป มนุษย์ทั้งหลายประชุมกันคัดเลือกบุรุษคนหนึ่ง ผู้มีรูปงาม สมบูรณ์ด้วยความรู้ในทุกด้านแล้วแต่งตั้งให้เป็นพระราชา ฝ่ายสัตว์สี่เท้าก็ประชุมกันโดยตั้งราชสีห์ให้เป็นพระราชา พวกปลาในมหาสมุทรก็ได้ตั้งปลาอานนท์ให้เป็นพระราชา
ครั้งนั้น หมู่นกทั้งหลายก็พากันมาประชุมที่ลานหินแห่งหนึ่งแล้วปรึกษากันว่า ในหมู่มนุษย์พวกเขาก็ได้ตั้งพระราชาแล้ว พวกสัตว์สี่เท้า พวกปลาทั้งหลายก็ตั้งพระราชาแล้วเช่นกัน ยังแต่พวกเรานี่แหล่ะ พระราชายังไม่มีเลย เป็นธรรมดาว่าการอยู่โดยไม่มีที่พึ่ง ย่อมไม่เหมาะไม่ควร แม้พวกเราก็ควรจะมีพระราชา พวกเราจงเลือกนกตัวหนึ่งเอาผู้ที่สมควรแล้วตั้งไว้ในตำแหน่งพระราชา
เมื่อนกทั้งหลายตกลงกันแล้วก็ได้พิจารณาหานกที่จะมาเป็นพระราชา เห็นนกเค้าตัวหนึ่งก็พากันชอบใจ จึงกล่าวว่า "พวกเราชอบใจนกตัวนี้ เราจะให้นกตัวนี้เป็นพระราชาของเรา" ลำดับนั้น
นกตัวหนึ่งจึงได้ประกาศขึ้น ๓ ครั้ง เพื่อต้องการหยั่งดูอัธยาศัยใจคอของนกทุกตัว
เมื่อนกตัวนั้นประกาศอยู่ ๒ ครั้งก็ยังเงียบอยู่ แต่พอจะประกาศครั้งที่ ๓ กาตัวหนึ่งได้ลุกขึ้นกล่าวว่า "ฉันได้ฟังการประกาศที่เป็นไปอยู่นี้ จะขอกล่าวอะไรสักหน่อย ได้ยินว่าพวกเราที่มาประชุมกันอยู่นี้ทั้งหมดจะตั้งนกเค้าตัวนี้ให้เป็นพระราชา ถ้าพวกเราจะอนุญาตให้ฉันได้ออกความเห็นในสภานี้จะได้ไหม"
ครั้งนั้น นกทั้งหลายปรึกษากันแล้วอนุญาตให้กาตัวนั้นกล่าวว่า "ดูก่อนสหาย เราทั้งหมดอนุญาตให้ท่านพูด แต่ท่านจงพูดแต่ถ้อยคำที่เป็นประโยชน์เป็นธรรมและถูกต้องเท่านั้นนะ
เพราะว่าพวกนกหนุ่ม ๆ ที่มีปัญญาและฉลาดหลักแหลมอยู่ที่นี่ก็มี"
กาตัวนั้นเมื่อได้รับอนุญาตจากสภาให้พูดแล้วจึงได้กล่าวขึ้นว่า "ขอความสุข ความเจริญจงมีแก่พวกท่านทั้งหลาย การแต่งตั้งนกเค้าให้เป็นพระราชานั้น โดยส่วนตัวข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยและไม่ชอบใจ เพราะอะไร พวกท่านจงดูสิ หน้าตานกเค้าตัวนี้ขนาดยังไม่โกรธยังหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวเห็นปานนี้แล้วถ้าตอนโกรธขึ้นมาล่ะ หน้าตาจักเป็นเช่นไร ประชาชนผู้ถูกพระราชาตัวนี้โกรธแล้วแลดูจะตระหนกตกใจขนาดไหน คงจะเหมือนก้อนเกลือที่โยนเข้าไปในกองไฟแน่เลย เพราะฉะนั้น การตั้งนกเค้าตัวนี้ให้เป็นพระราชา ข้าพเจ้าไม่พอใจ ไม่ชอบใจ" ว่าแล้วก็บินขึ้นร้องไปในอากาศว่า "ข้าพเจ้าไม่ชอบใจ ข้าพเจ้าไม่ชอบใจ"
ฝ่ายนกเค้าก็ได้บินไล่จิกตีกาตัวนั้นไปด้วยความโกรธแค้น นกทั้งหลายเห็นเหตุการณ์เป็นอย่างนั้นจึงได้พากันแต่งตั้งหงส์ทองให้เป็นพระราชาแทน แล้วพากันกลับไปสู่ที่อยู่ของตน ตั้งแต่นั้นมา กากับนกเค้าก็ได้ผูกเวรต่อกันและกันมาตลอด ด้วยประการฉะนี้แล.
ข้อคิด
การจะแต่งตั้งบุคคลหรือใครๆ ก็ตามให้ดำรงตำแหน่งหรือทำหน้าที่สำคัญ ควรคำนึงถึงความรู้ วุฒิภาวะ ความสามารถ ภาพลักษณ์ ความสำคัญและความเหมาะสมกับตำแหน่งนั้นๆ เป็นสำคัญ เพราะว่าหากตั้งคนที่ไม่มีความรู้ ความสามารถ หรือไม่เหมาะสมอย่างว่าแล้วก็จะทำให้เกิดความเสียหายให้กับองค์กรหรือประเทศชาติใด้

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วันแห่งความรัก



วันแห่งความรัก

วันที่สิบสี่ กุมภาฯ วันวาเลนไทน์
พระขอให้ คำสอน ป้อนอีกหน
อันความรัก ที่สุกใส ในใจคน
หากไม่หม่น หมองไหม้ ย่อมได้คุณ

จงรักษา ความเปโม ให้โก้หรู
ให้คงอยู่ อย่างเรืองรอง พ้องอุดหนุน
ให้แจ่มใส ให้ชุ่มเย็น เช่นใบบุญ
พร้อมทุ่มทุน อุ่นเจิดจ้า เอื้ออาทร

อันความรัก มีหลากหลาย ให้รู้จัก
เช่นความรัก พุทธศาสน์ ศาสด์คำสอน
ขอชาวพุทธ จงรักษา เอื้ออาทร
ให้สลอน และสลวย ช่วยดูแล

อย่างที่สอง รักพ่อแม่ แน่หนักหนา
จงรักษา น้ำใจท่าน พลันแยแส
อย่าห่างเหิน ท่านทั้งสอง ต้องเท็กแคร์
ต้องดูแล ทั้งกายใจ ให้ท่านดู

อย่างที่สาม รักคุณครู และอาจารย์
ลูกศิษย์นั้น ร่วมกันช่วย ให้สวยหรู
ตั้งใจเรียน เพียรศึกษา เข้าหาครู
และตั้งอยู่ ในคำสอน ยอมพากเพียร

รักเพื่อนฝูง ต้องอำนวย ช่วยเกลอมิตร
รักษาจิต กันและกัน นั้นอย่าเพี้ยน
หากอยู่ช่วง ที่สดใส ในวัยเรียน
จงพากเพียร เร่งศึกษา วิชาการ

จงห่างไกล ยาเสพย์ติด ชีวิตปลอด
สร้างทางรอด ร่วมกัน นั้นอาจหาญ
จงรักษา ชีวิต จิตชื่นบาน
ให้พบพาน สิ่งสวยหรู คู่วัยเยาว์

รักประเทศ ดับเภทภัย ได้สติ
อย่าดำริ แตกสามัคคี ที่อับเฉา
ให้อภัย ตั้งใจทำ หน้าที่เรา
อย่าได้เอา แพ้ชนะ เที่ยวระราน

รักพุทธศาสน์ โอวาทพุทธ พิสุทธิ์ล้ำ
จงเร่งทำ ทานศีล ถิ่นกรรมฐาน
ละความชั่ว ทำดี ให้มีกัน
จะถึงวัน แห่งความรัก ชะงัดแล....

วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ธรรมะบันเทิง

คำสั่งคุณพ่อ


พ่อแม่เป็นผู้อุปการะคุณต่อลูกเป็นอย่างมากมาย อย่างเช่น ให้การเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ให้การศึกษาอย่างสุดความสามารถของพ่อแม่ แนะนำมิให้ลูกทำความชั่ว

ในสิงคาลกสูตร ได้กล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดเวฬุวัน ใกล้กรุงราชคฤห์ เช้าวันหนึ่งเสด็จออกจากวัดเข้าไปบิณฑบาต ในระหว่างทางทรงพบมาณพคนหนึ่ง ชื่อว่า "สิงคาลกะ" มีผมเปียกและผ้าเปียก กำลังไหว้ทิศอยู่ จึงตรัสถามว่า “ไหว้ทำไม”

สิงคาลกะทูลว่า “ก่อนบิดาจะตายได้สั่งไว้ให้ไหว้ทิศ จึงทำตามคำสั่งด้วยความเคารพ”

พระพุทธองค์ตรัสว่า “ในอริยวินัย เขาไม่ไหว้ทิศ 6 อย่างนี้”

สิงคาลกะทูลถามว่า “เขาไหว้กันอย่างไร”

พระพุทธองค์จึงแสดงธรรมว่า อริยสาวกต้องละกรรมกิเลส และอคติ 4 ไม่ประกอบอบายมุข 6 เมื่อปราศจากความชั่ว 10 ประการนี้แล้ว ตายแล้วไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ดังนี้แล้ว จึงได้ตรัสหน้าที่ของบุคคลประจำทิศทั้ง 6 ที่จะพึงปฏิบัติต่อกันโดยลำดับ

ในที่สุด สิงคาลมาณพ ชื่นชมยินดี แสดงตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะที่พึ่งตั้งแต่นั้นมา

ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า พ่อแม่จัดเป็นทิศเบื้องหน้าของลูก ก็เพราะพ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิด และให้การบำรุงเลี้ยงดู พิทักษ์รักษามาก่อน หรือกล่าวได้ว่าให้ชีวิตแก่ลูก ๆ

ไหน ๆ ก็เล่าเรื่องในพระสูตร ก็ขอเล่าเรื่องแบบชาวบ้าน ๆ บ้าง เป็นเรื่องของพ่อลูกคู่หนึ่ง ซึ่งอยู่ในชนบท และใช้ชีวิตเป็นอย่างชาวบ้านทั่วไป อยู่กันแบบสังคมใหญ่ คือ จะรู้จักกันทั้งหมู่บ้าน ไม่ว่าจะถามหาใคร ก็จะรู้และบอกได้ว่าอยู่บ้านไหน และเป็นสังคมที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน โดยมีอะไรก็จะแบ่งสันปันส่วนให้แก่กันและกัน

เมื่อลูกชายโตเป็นหนุ่ม พ่อก็จะหาคู่ครองที่สมควรให้ โดยการหมั้นหมายกัน หรือว่า เป็นดองกัน หรือ กินดอง นั่นเอง ก่อนจะแต่งงานกันหนึ่งปี ทางฝ่ายชายจะต้องไปช่วยงานบ้านฝ่ายหญิงก่อน ตั้งแต่ช่วยดำนา เกี่ยวข้าว จนเก็บข้าวเข้ายุ้งฉาง ซึ่งถือว่าเป็นการทดลองสอบงานไปในตัว ก่อนที่จะบรรจุลงในตำแหน่งลูกเขย

ก่อนที่ลูกชายจะไปบ้านฝ่ายหญิง ผู้เป็นพ่อต้องให้ลูกเข้าคอร์สอบรมอย่างมาก และมีคุณพ่อเป็นติวเตอร์สอนด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการประพฤติปฏิบัติตัว มารยาท การกิน การนอน เป็นต้น

พ่อก็รู้ลูกชายของตนนั้นเป็นคนกินจุ ก็เลยกำชับไว้ว่า “ลูกเอ๋ย เวลากินข้าว อย่าไปกินมาก ให้กินแต่น้อย ๆ เคี้ยวนาน ๆ นะลูก”

ลูกชาย “อ้าว ! พ่อ ถ้ากินน้อย มันก็ไม่อิ่มนะซิ แล้วถ้าหิวแล้วจะทำอย่างไรล่ะครับ”

พ่อ “จะไปยากอะไร เอ็งกินข้าวไม่อิ่ม ถ้าหิวก็เอาน้ำลูบท้องซิ”

“พ่อ เอาน้ำลูบท้องแล้วมันอิ่มแน่นะ”

“เออซิวะ เพราะพ่อลองมาก่อนแล้ว” คุณพ่อตอบแบบมีอารมณ์

“พ่อ ถ้าเอาน้ำลูบท้องแล้ว มันไม่อิ่มล่ะครับ”

“เอ็งเชื่อข้าเถอะว่ะ เพราะข้าอาบน้ำร้อนมาก่อน” คุณพ่อพูดตัดบทไป

ในที่สุดลูกชายก็จบหลักสูตร โดยมีคุณพ่อเป็นการันตีความสามารถ แล้วก็ไปช่วยงานที่บ้านฝ่ายหญิง ตอนทำงานก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เรื่องการทานนี้ซิ เรื่องใหญ่

พอถึงเวลาทานข้าวในตอนเย็น ทุก ๆ คนก็มานั่งล้อมวงทานข้าว ลูกชายก็ทานข้าวน้อย ๆ เคี้ยวนาน ๆ ตามคำสั่งพ่อ เมื่อทานข้าวหมดเขาจะเติม ก็บอกว่า “พอแล้ว ผมอิ่มแล้วครับ”

กลางคืน ความที่เขาเป็นคนกินจุ แต่ทานข้าวได้แค่ครึ่งเดียว ก็เกิดอาหารหิว ท้องร้อง และแสบท้อง ได้แน่เอามือกุมท้องและนอนพลิกตัวไปมา แล้วครางเบา ๆ เพื่อบรรเทาความหิวว่า “หิวโว๊ย หิวโว๊ย หิวโว๊ย” แต่ก็ไม่สามารถบรรเทาความหิวลงได้ แต่พอถึงคำสั่งคุณพ่อที่ว่า “ถ้าหิวล่ะก็ ให้เอาน้ำลูบท้อง”

เมื่อนึกถึงคำสั่งคุณพ่อว่าให้ทำอย่างไร เขาก็ค่อย ๆ ลุกจากที่นอน ไปยังโอ่งน้ำใช้ขันน้ำบรรจงตักน้ำขึ้นมา แล้วเอามือลงจุ่มในน้ำเอามาลูบที่ท้องเบา ๆ ก็เกิดอาการเย็นท้องนิดๆ เขาลูบท้องไปมาสองสามครั้ง อาการหิวก็ทุเลาลงนิดหน่อย เขาก็ไปนอน พอความหิวเกิดขึ้น เขาก็ทำตามคำสั่งคุณพ่อทุกครั้งโดยเคร่งครัด

คนเราเมื่อทานอาหารน้อย ๆ บ่อย ๆ หลายวันเข้า ความหิวก็จะจางหายไป เพราะร่างกายปรับสภาพให้เป็นคนทานน้อยลง เขาได้อยู่ช่วยงานทางบ้านของฝ่ายหญิง จนเสร็จสิ้นในฤดูกาลทำนา พอกลับมาถึงบ้าน คุณพ่อยอดติวเตอร์ก็เลยมาประเมินผลของลูกชาย

“เป็นอย่างไร ทุกอย่างผ่านไปดีหรือเปล่า แล้วเอ็งทำตามคำสั่งพ่อไหมล่ะ”

“โอ๊ย ! พ่อ ไม่ต้องห่วง ผมทำตามคำสั่งพ่อทุกประการ นั่นแหล่ะครับ”

“แล้วเรื่อง การกินของเอ็งล่ะ เป็นอย่างไร” คุณพ่อหยอดถามแบบทดสอบทันที

“เวลาหิว ผมก็เอาน้ำลูบท้องนั่นซิครับ”

“แล้วเอ็งอย่างไร” คุณพ่อถามวิธีการปฏิบัติ

“อ้าวพ่อ ! เวลาหิวนั่นนะพ่อ ท้องมันร้องและแสบท้องด้วย ผมก็ไปเอาน้ำมาลูบที่ท้องไปมาสามสี่ครั้ง เกิดอาการเย็น ๆ มันก็หายหิวเลยซิครับ แม้วิธีการของคุณพ่อเนี๊ยดีจริง ๆ” ลูกชายตอบอย่างภาคภูมิใจ แถมโฆษณาให้เสร็จ

“อ้าวเฮ้ย ! พ่อไม่ได้บอกให้เอาน้ำมาลูบที่ท้อง พ่อบอกให้เอาน้ำลูบท้องโว้ย” คุณพ่อโวยลูกชายที่ทำไม่ถูกวิธีการ

“แล้วพ่อให้ผมทำอย่างไร” ลูกชายถามแบบซื่อ ๆ งง ๆ

“พ่อบอกให้เอ็งเอาน้ำลูบท้อง นั่นล่ะหมายถึง กินน้ำโว้ย ไม่ใช่เอาน้ำมาลูบที่ท้อง” คุณพ่อตอบแบบเคือง ๆ นิด ๆ ที่ลูกชายไม่เข้าใจถึงวิธีการ

คำสั่งของคุณพ่อยอดติวเตอร์ที่ว่า “เอาน้ำลูบท้อง เป็นคำปริศนา ซึ่งหมายถึง การดื่มน้ำ” แล้วคุณล่ะ เคยเจอคำสั่งแบบปริศนา คำโบราณ หรือคำพังเพยบ้างหรือเปล่า แล้วมีวิธีการแก้ไขคำสั่งอย่างไร ?

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สาเหตุของการเกิดปฏิจจสมุปบาท


การเกิดของปฎิจจสมุปบาท
สาเหตุของการเกิดปฏิจจสมุปบาทเพราะว่า
อวิชชา เป็นปัจจัยจึงมี สังขาร
สังขาร เป็นปัจจัยจึงมี วิญญาณ
วิญญาณ เป็นปัจจัยจึงมี นามรูป
นามรูป เป็นปัจจัยจึงมี สฬายตนะ
สฬายตนะ เป็นปัจจัยจึงมี ผัสสะ
ผัสสะ เป็นปัจจัยจึงมี เวทนา
เวทนา เป็นปัจจัยจึงมี ตัณหา
ตัณหา เป็นปัจจัยจึงมี อุปาทาน
อุปาทาน เป็นปัจจัยจึงมี ภพ
ภพ เป็นปัจจัยจึงมี ชาติ
ชาติ เป็นปัจจัยจึงมี ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัส อุปายาส
ความเกิดของกองทุกข์ทั้งหมดนี้เรียกว่า " ปฏิจจสมุปบาท "
ปฏิจจสมุปบาทจะดับได้เพราะ
อวิชชา ดับ สังขาร จึงดับ
สังขาร ดับ วิญญาณ จึงดับ
วิญญาณ ดับ นามรูป จึงดับ
นามรูป ดับ สฬายตนะ จึงดับ
สฬายตนะ ดับ ผัสสะ จึงดับ
ผัสสะ ดับ เวทนา จึงดับ
เวทนา ดับ ตัณหา จึงดับ
ตัณหา ดับ อุปาทาน จึงดับ
อุปาทาน ดับ ภพ จึงดับ
ภพ ดับ ชาติ จึงดับ
ชาติ ดับ ชรา มรณะ โสกะปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส จึงดับ ความดับของกองทุกข์ทั้งมวลนี้ คือ การเดินออกจากบ่วงของปฏิจจสมุปบาท
องค์ประกอบของปฏิจจสมุปบาท
เพราะการหมุนเวียนของวัฏชีวิตที่มีทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต หมุนเวียนไปตามองค์ประกอบ ของการเกิด หาจุจบไม่ได้และไม่สามารถหาต้นเหตุได้ว่าอะไร คือ ต้นเหตุของการเกิด และอะไร คือ ปลายเหตุของการดับ เริ่มจากอดดีตสู่ปัจจุบัน ปัจจุบันสู่อนาตค อนาคตกลับมาเป็นอดีต อดีตมาเป็นปัจจุบัน ประดุจห่วงของลูกโซ่ที่ผูกต่อกันไปหาที่สุดมิได้ เรียกว่า เป็นวงจรของปฏิจจสมุปบาท หรือ บาทฐานการเกิดของกองทุกข์ ซึ่งประกอบด้วย :-
1. อวิชชา
คือ ความไม่รู้ตามความเป็นจริงในความทุกข์ของจิต ไม่รู้ในเหตุให้เกิดแห่งความทุกข์ไม่รู้ในการดับ ทุกข์ไม่รู้ในปฏิปทาให้ถึงความดับทุกข์ อวิชชาเป็นจิตที่ไม่รู้จิตในจิต
เพราะความไม่รู้หรืออวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีสังขาร
2. สังขาร
คือ การปรุงแต่งของจิตให้เกิดหน้าที่
ทางกาย - เรียกกายสังขาร ได้แก่ ธรรมชาติที่ปรุงแต่งร่างกายให้เกิดลมหายใจเข้าออก
ทางวาจา - เรียกวจีสังขาร ได้แก่ ธรรมชาติที่ปรุงแต่งวาจาให้เกิดวิตกวิจาร
ทางใจ - เรียกจิตสังขาร ได้แก่ ธรรมชาติที่ปรุงแต่งจิตให้เกิดสัญญา เวทนา สุข ทุกข์ทางใจ
เพราะการปรุงแต่งของจิตหรือสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดมีวิญญาณ
3. วิญญาณ
คือ การรับรู้ในอารมณ์ที่มากระทบในทวารทั้ง 6 คือ
ทางตา - จักขุวิญญาณ
ทางเสียง - โสตวิญญาณ
ทางจมูก - ฆานวิญญาณ
ทางลิ้น - ชิวหาวิญญาณ
ทางกาย - กายวิญญาณ
ทางใจ - มโนวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
4. นามรูป
นาม คือ จิตหรือความนึกคิด ในรูปกายนี้ เป็นของละเอียดได้แก่
เวทนา คือ ความรู้สึกเสวยในอารมณ์ต่างๆ
สัญญา คือ ความจำได้หมายรู้ จดจำในเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วทั้งดีและไม่ดีดังแต่อดีต
เจตนา คือ ความตั้งใจ การทำทุกอย่างทั้งดีและชั่ว
ผัสสะ คือ การกระทบทางจิต
มนสิการ คือ การน้อมจิตเข้าสู่การพิจารณา
รูป คือ รูปร่างกายที่สัมผัสได้ทางตา เป็นของหยาบ ได้แก่ มหาภูตรูป 4 คือ ดิน, น้ำ, ไฟ, ลม
เพราะนามรูปเกิด จึงเป้นปัจจัยให้มีสฬายตนะ คือ ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ
5. สฬาตนะ
คือ สิ่งที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกันทางวิถีประสาทด้วยอายตนะทั้ง 6 มี
ตา - จักขายตนะ หู - โสตายตนะ
จมูก - ฆานายตนะ ลิ้น - ชิวหายตนะ
กาย - กายายตนะ ใจ - มนายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
6. ผัสสะ
คือ การกระทบกับสิ่งที่เห็นรู้ทุกทวารทั้งดีและไม่ดี เช่น
จักขุผัสสะ - สัมผัสทางตา โสตผัสสะ - สัมผัสทางเสียง
ฆานผัสสะ - สัมผัสทางจมูก ชิวหาผัสสะ - สัมผัสทางลิ้น
กายผัสสะ - สัมผัสทางกาย มโนผัสสะ - สัมผัสทางใจ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา


7. เวทนา
คือ ความรู้สึกเสวยอารมณ์พอใจ, ไม่พอใจและอารมณ์ที่เป็นกลางกับสิ่งที่มากระทบพบมาได้แก่
จักขุสัมผัสสชาเวทนา - ตา โสตสัมผัสสชาเวทนา - เสียง
ฆานสัมผัสสชาเวทนา - จมูก ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา - ลิ้น
กายสัมผัสสชาเวทนา - กาย มโนสัมผัสสชาเวทนา - ใจ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเครื่องรับของความรู้สึกต่างๆ
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
8. ตัณหา
คือ ความทะยานอยาก พอใจ และไม่พอใจในสิ่งที่เห็นรู้ใน
รูป - รุปตัณหา เสียง - สัททตัณหา
กลิ่น - คันธตัณหา รส - รสตัณหา
กาย - โผฎฐัพพตัณหา ธรรมารมณ์ - ธัมมตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
9. อุปาทาน
คือ ความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ และที่เกิดขึ้นในขัน 5 มี 4 เหล่า คือ
กามุปาทาน - ความยึดมั่นถือมั่นในวัตถุกาม
ทิฎฐุปาทาน - ความยึดมั่นถือมั่นในการเห็นผิด
สีลัพพตุปาทาน - ความยึดมั่นถือมั่นในการปฎิบัติผิด
อัตตวาทุปาทาน - ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนในขันธ์ 5
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ



10. ภพ
คือ จิตที่มีตัณหาปรุงแต่ง เกิดอยู่ในจิตปุถุชนผู้หนาแน่นในตัณหา 3 เจตจำนงในการเกิดใหม่ ความกระหายในความเป็น เพราะยึดติดในรูปในสิ่งที่ตนเองเคยเป็น มี 3 ภพ คือ
กามภพ - ภพมนุษย์, สัตว์เดรัจฉาน, เทวดา
รูปภพ - พรหมที่มีรูป
อรูปภพ - พรหมที่ไม่มีรูป
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
11. ชาติ
คือ ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง ได้แก่ จิตที่ผูกพันกันมากๆจึงเกิดการสมสู่กัน อย่างสม่ำเสมอ จนปรากฎแห่งขันธ์ แห่งอายตนะในหมู่สัตว์
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกปริเทวะทุกขโทมมัส อุปายาส มีความเศร้าโศก เสียใจ ร้องไห้อาลัย อาวรณ์
12. ชรา มรณะ
ชรา คือ ความแก่ ภาวะของผมหงอก ฟันหลุด หนังเหี่ยวย่น ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่ของอินทรีย์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยงเป็นทุกข์อยู่ในตัว
มรณะ คือ ความเคลื่อน ความทำลาย ความตาย ความแตกแห่งขันธ์ ความขาดแห่งชีวิตินทรีย์
บ่อเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ เกิดขึ้นมาได้เพราะอวิชา ดั่งพืชเมื่อเกิดเป็นต้นไม้แล้ว มีราก ลำต้น ใบ ดอก ผล เป็นลำดับไป ไม่ปรากฎว่าเบื้องต้นเกิดมาแต่ครั้งไหน ดั่งรูปนาม ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่ปรากฎว่าเบื้องต้นคือ " อวิชชา" เกิดมาตั้งแต่เมื่อไร เพราะ เกิดการผูกต่อกันมาเป็นลำดับ เกิดเป็นปฎิจจสมุปบาทขึ้นมา
ปุถุชนดับวงของปฎิจจสมุปบาทได้บ้าง เป็นการดับชั่วขณะจึงต้องเกิดอีก เพราะ ตัววิชชายังไม่แจ้งในขันธ์ 5
ส่วนตัวอริยชนดับวงของปฎิจจสมุปบาทได้สนิท เพราะดับได้ด้วยวิชชาจึงไม่ต้องเกิดอีก เป็นการดับไม่เหลือเชื้อ เพราะวิชชาแจ้งในขันธ์ 5 พ้นจากการเกิด เปรียบเหมือนไฟ ที่สิ้นเชื้อดับไปแล้ว

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

จากใจบอกอ

สวัสดีท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาอ่านวารสารออนไลน์ของเรา ก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อหาสาระก็ต้องขอแนะนำตัวสักหน่อยว่า พวกเราเป็นใคร มาจากไหน และมาทำอะไรบนอินเตอร์เน็ต

พวกเราคือ กลุ่มธรรมะทูโก(Dhamma to go) หลายคนอาจจะถามว่าชื่อนี้ท่านได้แต่ใดมา กว่าจะได้ชื่อนี้มา แหม่...ต้องกรอวีดีโอกลับหน่อยเพื่อฉายซ้ำ เหตุการณ์มันเกิดขึ้นแบบไม่ได้นัดหมาย ยังจำช่วงเวลาเหล่านั้นได้ เมื่อพวกเราเหล่าพระธรรมทูตสายต่างประเทศเดินทางไปร่วมประชุมสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกาสมัยวิสามัญ ณ วัดมงคลรัตนาราม เมืองแทมป้า มลรัฐฟลอริด้า

ช่วงนั้นบรรยากาศเป็นใจมาก อากาศดี สถานที่ร่มรื่นสวยงาม และได้พบคนที่รู้ใจ(เพื่อนๆ) ความคิดดีๆ จึงอุบัติขึ้น มีการนัดหมายคุยกันว่าน่าจะทำอะไรสักอย่างร่วมกัน โดยใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันให้เป็นประโยชน์

“แล้วจะทำอะไรดีล่ะ ?” เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้น
“ทำวารสารออนไลน์ครับ ประหยัด ทันสมัย รวดเร็ว ทันใจ" เพื่อนอีกคนตอบ

พวกเราคุยกันหลายเรื่องว่าจะทำยังไง วารสารรายปักษ์ หรือรายเดือน ใครจะเขียนอะไร รวมถึงวัตถุประสงค์ของการทำ กลุ่มเป้าหมาย ฯลฯ แต่เรื่องที่ทำให้พวกเราซีเรียสหรือปวดหัวที่สุด คือการตั้งชื่อวารสาร แต่ละคนต่างเสนอชื่อที่ตัวเองคิดว่า เจ๋ง พร้อมทั้งอธิบายความหมายของชื่อหรือสโลแกน คุยกันจนถึงเที่ยงคืนก็ยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะเอาชื่ออะไรดี จึงต้องตีระฆังพักยกบอกว่าให้เป็นการบ้านไปนอนคิดให้รอบคอบ ๑ คืน พรุ่งนี้หลังอาหารเช้าค่อยมาเสนอและโหวตกันว่าจะเอาชื่ออะไรดี

หลังอาหารเช้า พวกเรามาเจอกันที่เดิมและร่วมกันลงประชามติว่า ธรรมะทูโก คือชื่อที่ดีครับท่าน เหมาะสมครับพี่ เล่ามาตั้งนานนี้และคือที่ไปที่มาของธรรมะทูโก

ธรรมะทูโก คือ วารสารรายเดือนออนไลน์ ที่มีวัตถุประสงค์จะเผยแผ่สาระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้คนทันโลก ถึงธรรม

ส่วนเนื้อหาสาระภายในวารสารธรรมะทูโกฉบับเดือนมีนาคมซึ่งเป็นฉบับแรกของพวกเรา มีอะไรที่น่าติดตามบ้าง โอ้...มีเยอะแยะมากมาย ไม่ได้โม้(เพราะไม่ใช่สมรักษ์) อยากจะการันตีกับท่านผู้อ่านว่า ธรรมะทูโกไม่ได้นำเสนอแค่ธรรมะเท่านั้น แต่เรานำเสนอสาระที่จำเป็นสำหรับชีวิต ทั้งเรื่องสุขภาพ ทั้งสถานการณ์ต่างๆ ที่เป็นไปรอบโลก หรือถ้าใครที่ชื่นชอบกวี ก็สามารถดื่มด่ำกวีได้ สมกับชื่อสโลแกนของพวกเราที่ว่า ให้คุณทันโลก ถึงธรรม

หวังว่าคงได้พบท่านผู้อ่านอีกในฉบับหน้าเดือนเมษายน อย่าลืมติดตามวารสารและกิจกรรมของธรรมะทูโก และที่สำคัญอย่าลืมแวะเวียนเข้ามาทักทายกันได้ตลอดเวลาที่เว็บไซด์ของพวกเรา http://dhammatogo.blogspot.com

สวัสดีครับ แล้วพบกันใหม่....

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สุขภาพ สมุนไพร@ธรรมะทูโก

คำคม-สุภาษิต “ถ้าเราไม่สร้างความดี ความดีก็ไม่สร้างเรา”

ในสมัยเมื่อยังเป็นนิสิตมหาจุฬาฯอยู่ ได้อ่านคำกลอนบทหนึ่งที่ว่าสะอาดกาย หมายแน่แท้เจริญวัย, สะอาดจิตคิดสิ่งใดควรได้ ก็มีความรู้สึกว่า เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อคนเราเจริญเติบโตขึ้นก็ต้องรักงาม รักความสะอาด ขืนปล่อยให้สกปรกเหมือนเด็กๆอยู่ สาวๆ ที่ไหนจะมองเล่า ครั้นเมื่อเราพิจารณาดูโดยรอบครอบแล้ว คำกลอนบทนี้มีความหมายลึกซึ้งกว่าที่คิด และคำอีกคำหนึ่งที่ฟังดูแล้วเป็นคำที่ครอบคลุมเนื้อหาสาระที่จะนำมาบอกเล่าในบทความนี้ก็คือคำว่า สุขภาพกาย และสุขภาพใจ

สุขภาพกาย เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่คนเราจะต้องมีร่างกายแข็งแรง เพื่อที่จะทำการงาน และการดำรงชีวิตอย่างปรกติสุข หากสุขภาพกายเสื่อมทรุดก็พลอยมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตด้วย มีนักปราชญ์ท่านได้คิดคำย่อเพื่อให้จำได้ง่ายเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติมีอายุยืนนาน เหมือนหนึ่งเป็นยาอายุวัฒนะก็ว่าได้ คือ ถ้าอยากมีอายุยืนต้องปฏิบัติตามหลัก ๕ อ.

  • อ. ที่หนึ่ง คือ อาหาร ต้องถูกตามหลักโภชนาการ และย่อยง่าย
  • อ.ที่สอง คือ อากาศ ต้องอยู่ในที่ปลอดโปร่ง อากาศบริสุทธิ์
  • อ.ที่สาม คือ ออกกำลังกาย ต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกวัน
  • อ.ที่สี่ คือ อารมณ์ ต้องรักษาอารมณ์ไม่ให้เคร่งเครียด ไม่ถือโทษโกรธง่าย ๆ
  • อ.ที่ห้า คือ อุจจาระ ต้องถ่ายตรงเวลา สม่ำเสมอ
ตามหลัก ๕ อ. ที่ได้กล่าวมานี้ ข้อหนึ่ง ถึง ข้อห้า ยกเว้นข้อสี่ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพกาย น่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย เพราะว่าในโลกปัจจุบันนี้เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้ามาก อาหารหรือก็อุดมสมบูรณ์ สถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ หากเลือกอยู่แถบชาญเมืองก็หาได้ไม่ยาก เครื่องออกกำลังกายหรือก็มีทั่วไป (หรือจะใช้วิชาโยคะท่าใดท่าหนึ่งใช้ออกกำลังกายเป็นท่าประจำทุกวันก็ได้) ฐานที่เป็นที่ถ่ายของเสียก็สามารถสร้างไว้ในบ้านได้อย่างสะดวกสบายกว่าสมัยก่อนเยอะ ไม่ต้องลบตาผู้คนไปถ่ายในป่าอีกต่อไปแล้ว ส่วนข้อที่ ๔ อารมณ์ คือการรักษาอารมณ์นี้น่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะอยู่ๆ จะให้รักษาอารมณ์เลยนั้นคงเป็นเรื่องทำกันได้ไม่ง่ายนักหรอก ยกเว้นคนที่ฝึกมาดีแล้ว อบรมมาดีแล้วนั้นแหละจึงจะสามารถรักษาอารมณ์ไว้ได้ดี ที่นี้เรามาดูกันว่าเราจะฝึกจิตอย่างไรจึงจะทำให้สุขภาพใจไม่เสีย



สุขภาพใจ หรือสุขภาพจิต การรักษาอารมณ์ไว้ได้ดีนั้น มาจากการที่เราได้ฝึกจิตไว้ดีแล้ว การฝึกจิตตามหลักทางพระพุทธศาสนานั้นมีอยู่หลายวิธี เช่นกรรมฐาน ๔๐ และวิปัสสนา เช่นกำหนดสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานๆ หรือการกำหนดลมหายใจเข้าหายใจออกที่เรียกวาอาณาปาณสติก็เรียก คือการฝึกจิตให้นิ่งอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งนานๆ นั่นเอง เมื่อเราฝึกบ่อยๆ จิตก็จะชำนาญ และทนทานต่ออารมณ์ที่เข้ามากระทบ ไม่ว่าจะเป็นความรัก โลภ โกรธ หลง เพราะเมื่อเราฝึกจิต ฝึกสติให้ดีพอแล้วสติก็จักขนเอาปัญญามาช่วยแก้ไขอารมณ์ต่างๆที่เกิดกับใจไว้ทันท่วงที เมื่อเรารักษาอารมณ์ไว้ได้ดังนี้ ก็จักเป็นผู้มีสุขภาพจิตดี และอายุยั้งยืนนาน เพราะฉะนั้นเราท่านทั้งหลายที่อยากมีอายุยืนจงมาปฏิบัติตามหลักห้า อ.ที่ได้บอกเล่ามานี้โดยที่ไม่ต้องกินยาอายุวัฒนะใด ๆ ก็สามารถมีอายุยืนเกินร้อยได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย

เมื่อเราเจ็บไข้ได้ป่วย สิ่งแรกที่เราคิดถึงคืออะไร? ร้อยทั้งร้อยจะต้องตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ยา” สมัยก่อน เมื่อบ้านเมืองยังไม่เจริญก้าวหน้าด้วยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี่ หมอชาวบ้าน หรือหมอยาสมุนไพรมีบทบาทสำคัญมากในการดูแลรักษาสุขภาพชุมชน แม้สมัยนี้จะเจริญก้าวหน้าหาหยูกยาได้ง่ายในร้านขายยาทั่วไป ยาสมุนไพรก็ยังคงมีบทบาทในชุมชนที่ห่างไกลความเจริญ มียาหลายชนิดที่สกัดจากพืชสมุนไพรและนำมาบำบัดรักษาโรคอย่างได้ผล เช่นหญ้าหนวดแมว นำมาสกัดรักษาโรคหืดหอบอย่างได้ผลเป็นต้น ในฉบับเริ่มต้นนี้ เราจะมาเรียนรูเรื่องพืชสมุนไพรเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ หรือที่เรียกว่า การเรียนรู้เภสัชกรรมไทย

เภสัชกรรม คือ การเรียนรู้และใช้สมุนไพรเป็น วันนี้เราจะมาเรียนรู้พืชสมุนไพร สามชนิดคือ ถั่วเขียว ชุมเห็ดไทย และ เดือย หรือมะเดือย

ถั่วเขียว ถั่วเขียวที่เรานำมาต้มใส่น้ำตาลแดงกินทุกวันนั้น ท่านรู้ไหมว่ามันมีสรรพคุณต่อร่างกายมนุษย์เราอย่างมากโดยเฉพาะเรื่องไขข้อ และหมอนรองกระดูกไขสันหลัง เพราะฉะนั้นถ้าท่านใดรับประทานถั่วเขียวทุกวัน หรืออาทิตย์ละครั้ง จะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องไขข้อ และหมอนรองกระดูกไขสันหลัง

ชุมเห็ดไทย ชุมเห็ดไทย (ไม่ใช่ชุมเห็ดเทศนะ) ท่านรู้ไม่ว่า เป็นพืชสมุนไพรล้มลุกที่ขึ้นง่ายดาษดื่นในเมืองไทยเรานั้นจะเป็นยาที่ มีสรรพคุณต่อระบบประสาทอย่างดี นอกจานั้นยังช่วยการทำงานของตับให้เป็นปรกติอีกด้วย เพราะสามารถปรุงเป็นยาบำรุงประสาท แก้นอนไม่หลับ และยังแก้ตับอักเสบได้อีกด้วย

เดือย มะเดือย เดือยหิน หรือ ลูกเดือย เป็นยาในรูปอาหาร เพราะคนไทยโดยมานำมาทำเป็นอาหารหวานในรูปต่างๆ เช่นขนมไอครีมใส่ลูกเดือย ขนมบัวลอยใส่ลูกเดือยเป็นต้น ซึ่งนอกจากจะปรุงเป็นอาหารอย่างดี ทานเป็นอาหารหวานหอมเอร็ดอร่อยแล้ว ท่านเชื่อไม่ว่ามันยังสารมารถช่วยรักษาโรคเหน็บชา ขับปัสสาวะ และบำรุงคนที่พึ่งฟื้นจากพิษไข้ได้อีกด้วย

ฉบับนี้เห็นจะพอกันแค่นี้ก่อนนะครับแล้วมาพบกันใหม่ฉบับหน้า มีข้อสงสัยประการใด ก็สอบถามกันมาได้นะครับที่ Mraksa@hotmail.com ขอให้ทุกท่านสุขภาพดี มีความสุตลอดกาลนาน นะครับ ด้วยรอยยิ้ม และความปรารถนาดีคร๊าบ..บ..บ



ศรีวัชรอาสน์

10:10 P.m. February 4, 2010