วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ดวงตาเห็นธรรม@ธรรมะทูโก

สุข-ทุกข์ อารมณ์ความรู้สึกที่เป็นสากล




วันนี้อยากจะเล่าถึงความรู้สึกของผมเองนะครับ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งที่เห็นอารมณ์ความรู้สึกของตนเองได้ชัดเจนสุดที่ก็น่าจะเป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงที่เฮตินั่นแหละครับ แม้ว่าจะผ่านไปนานนับเดือนแล้วก็ตาม แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผมและใครหลายๆ คนนั้นยังมิอาจลืมเลือนไปได้เลย ถึงแม้จะพิจารณาให้เห็นถึงสัจธรรมที่ว่า ทุกชีวิตล้วนแล้วแต่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ตามที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์เคยพร่ำสอนมา แต่ก็มิอดมิได้ครับที่อารมณ์แห่งความทุกข์มันผุดขึ้นมานั่งอยู่กลางใจ จนไม่อาจที่จะอยู่นิ่งเฉยได้ ทั้งพยายามช่วยเหลือในสิ่งที่ตัวผมเองพอจะทำได้บ้าง ด้วยการบริจาคเงินแก่ผู้ประสบภัยในนามสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา จำนวน ๑๐๐ เหรียญสหรัฐ ซึ่งหากจะว่าไปแล้วก็เป็นเพียงจำนวนเงินอันน้อยนิดก็ตามที แต่ก็ทำให้สบายใจได้ว่า เราก็เป็นคนหนึ่งที่ขอมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้น



มีคนกล่าวว่า “ความรู้สึก” หรือ Sentiment ถือว่าเป็นสากล หรือเป็นความรู้สึกมวลรวมที่ขอเรียกว่า GNS (Gross Nation Sentiment) ที่ไม่แบ่งแยกว่าคุณจะเชื้อชาติ ผิวพรรณ ภาษา ศาสนา เพศ หรือวัยใดก็ตาม แม้กระทั่งสัตว์ใหญ่น้อยก็ย่อมมีความรู้สึกที่เป็นสากลนี้เช่นกัน ที่กล่าวเช่นนี้หมายถึงว่าไม่มีความสุข, เศร้า, เหงา, ทุกข์ ฯลฯ แบบพุทธ คริสต์ อิสลาม หรือศาสนาอื่นใด หากแต่เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นสากล ที่ทุกคนล้วนแล้วแต่เคยประสบพบเจอและสัมผัสมาบ้างไม่มากก็น้อยแตกต่างกันไปตามเหตุปัจจัย เช่น หากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้หากมีพ่อ แม่ เพื่อน แฟน หรือกิ๊กรวมอยู่ในนั้นด้วย เราก็จะรู้สึกถึงทุกข์ร้อนก้อนขนาดใหญ่เกิดขึ้นคับอกคับใจของเรา จนแทบที่จะทนทานไหว บางคนก็ต้องร้องไห้ฟูมฟาย เสียอกเสียใจกันไปนานแสนนาน



แต่ในขณะเดียวกันหากไม่มีบุคคลอันเป็นที่รักดังกล่าว หรือเราไม่รู้จักใครเลยในประเทศเฮติ ความทุกข์มันก็จะเล็กไปหรืออาจจะไม่ทุกข์ด้วยซ้ำ เพราะอะไรนะหรือครับ เพราะว่ามันเกิดขึ้นไกล ญาติพี่น้องเราก็ไม่ใช่ หลายคนคิดแบบนี้จึงรู้สึกเฉยๆ กับเหตุการณ์นั้นครับ พูดง่ายๆ ก็คืออะไรที่เกี่ยวข้องกับเรา แม้จะเป็นเรื่องเล็กก็กลับกลายเป็นทุกข์หนักได้ แต่ถ้าอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกับเราก็แทบจะไม่ทุกข์ หรือทุกข์ไม่เป็นเลยเสียด้วยซ้ำ เปรียบเหมือนสิวขึ้นบนใบหน้านั่นแหละครับ คนที่สำอางหน่อย แต่งเนื้อแต่งตัว รักษาผิวพรรณหน้าตาเสมอก็จะทุกข์หนัก ต้องกังวลใจว่าจะหายาหรือครีมชนิดไหนมาทาให้หาย ทุกข์ก็เลยเกิดขึ้นจากเล็กน้อยก็กลายเป็นใหญ่โต ยอมเสียตังค์ได้โดยไม่ลังเล นั้นเพราะทุกข์นั้นมันเกี่ยวข้องกับเราโดยตรง



แต่พอเปรียบเทียบกับคนตายมากมายมหาศาลจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เฮติ หรือเอาง่ายๆ แม้กระทั่งเกิดสึนามิที่ภาคใต้ของประเทศไทย ใครไม่มีญาติพี่น้องหรือคนที่เกี่ยวข้องล้มหายตายจากในครั้งนั้น ก็ไม่เคยเลยที่จะหลั่งน้ำตาหรือทุกข์ทรมานเลยด้วยซ้ำ ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วจะไปกล่าวถึงอะไรกับคนตายในประเทศเฮติล่ะ แต่เดี๋ยวก่อนครับ เรามาลองพิจารณากันดูก่อนมั้ยว่าจริงๆ แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับเราบ้าง ผมเชื่อว่าหากเราพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ด้วย โยนิโสมนสิการ คือการคิดอย่างแยบคาย พิจารณาอย่างถี่ถ้วน เราก็จะได้อะไรหลายๆ อย่างจากเหตุการณ์ที่เฮติ “อารมณ์” ไงครับ สิ่งที่ผมอยากจะพูดถึงในวันนี้ อารมณ์ที่เกิดขึ้นมีอะไรบ้างล่ะ ลองมาสำรวจที่ตัวเราเองดูสิครับ ว่าหลังจากได้เห็นภาพข่าวทางทีวี หรืออ่านหนังสือพิมพ์ เรามีความรู้สึกทุกข์มั้ย? เราสุขรึป่าว? หรือเราเสียใจ หรือว่าเราเฉยๆ อารมณ์เหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็น “ความรู้สึก” ทั้งนั้นแหละครับ วันนี้อยากให้ทุกท่านมาลองพิจารณาความรู้สึกของตัวเองกันนะครับ ว่าอารมณ์ความรู้สึกไหนที่มันเกิดขึ้นแล้วใจเราเป็นอย่างไร เราจะพิจารณาอย่างไร อันนี้สำคัญมากนะครับ เพราะส่วนตัวผมแล้วถือว่าเป็นจุดไคลแมกซ์ของชีวิตเลยแหละ







อารมณ์ มีลักษณะที่ เปลี่ยนแปลง ~ ปรวนแปร ~ เกิด ~ ดับ แถมบางครั้งก็ บีบคั้น อีกต่างหาก ทั้งที่จับต้องไม่ได้ แต่...ส่งผลกับใจเราอย่างรุนแรงทีเดียว ไม่เชื่อก็ลองนึกถึงยามที่คุณอยากได้อะไรบางอย่างแล้วไม่ได้ว่า...ใจเราร้อนรุ่ม แสนกระวนกระวายเพียงใด และ..เพื่อให้ได้บางสิ่งบางอย่างนั้นมา ใจเราก็บีบคั้นตัวเองให้วิ่งตามกิเลส สนองความอยาก..ไม่หยุดหย่อน เดี๋ยวตามสิ่งนี้ เดี๋ยวอยากได้สิ่งนั้น สมคำกล่าวที่ว่า.. “ใจเป็นใหญ่, ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ” อย่างนี้แล้ว ใจที่วิ่งวน เดี๋ยวอยาก เดี๋ยวปฏิเสธ จะเหน็ดเหนื่อย น่าสงสารสักเพียงใด..



ถ้าอารมณ์ทุกข์หรือสุขเกิด เรามองเห็น ก็ให้พิจารณาทุกข์-สุขนั้น อย่าเพิ่งปล่อยให้ใจแสดงอารมณ์ออกมานะครับ อยากให้พิจารณาเป็นขั้นตอนไป นั่นคือ เมื่อเราเห็นทุกข์-สุขแล้ว ใช้ ปัญญา ที่มีมาเป็นอาวุธคู่กายนี่แหละ พิจารณาให้ถ้วนถี่ถึงผลได้ผลเสีย ผลดีผลเลว ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเรา ถ้าเราส่งผ่านอารมณ์นั้นๆ เข้าไปสู่จิตใจของเรา หากว่ากันตามขั้นตอนแล้วมันไม่ยากเลย เหมือนกับการเดินขึ้นบันไดนั่นแหละครับ ก้าวไปทีละขั้น หมั่นพิจารณาแบบนี้ทุกๆ อารมณ์ เราก็จะเข้มแข็งมากขึ้นครับ



หากใครเผลอตัวปล่อยใจให้รับรู้อารมณ์ที่เกิดทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้พิจารณา ปัญญายังไม่ถูกใช้ จนเกิดอารมณ์แสดงออกมา ก็อย่าให้เกิดบ่อยครับ หมั่นฝึกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเดียวก็ชำนาญ อะไรก็ตามที่ฝึกฝนบ่อยๆ จะมีความแคล่วคล่องว่องไว ชำนาญในการรับรู้ พิจารณา ก็จะส่งผลดีกับตัวเราเองนั่นแหละครับ เผลอๆ จะส่งผ่านอารมณ์นั้นๆ ไปให้กับคนรอบตัวได้ด้วย มันเป็นอัตโนมัตินะครับ อารมณ์เนี่ย มองไม่เห็น แต่มันส่งผ่านกันได้ง่ายๆ



ลองสังเกตเวลาที่เรามีความสุข คนรอบข้าง พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน แฟน หรือแม้กระทั่งหมาแมวก็รับรู้ได้ถึงความสุขนั้นได้ แต่หากวันใดอารมณ์บูด ใครจะพูดอะไรก็ไม่เข้าหู อารมณ์ต่างๆ มันจะแผ่ซ่านออกมาจากตัวเราเอง ใครต่างๆ ที่กล่าวถึงข้างต้นก็ล้วนแล้วแต่สัมผัสได้เช่นกัน เผลอๆ หมาแมวไม่เข้าใกล้ด้วยซ้ำ ก็ให้หมั่นฝึกเอาไว้นะครับ อย่าให้อารมณ์เป็นเจ้านายตัวเอง เราต่างหากที่จะต้องเป็นเจ้านายของอารมณ์ มีพุทธวจนะในธรรมบทชิ้นหนึ่งที่กล่าวถึงการฝึกจิตให้เอาชนะอารมณ์ของตนเอง จึงขออาราธนามาปิดท้ายกันวันนี้ครับ ขอให้ท่านผู้อ่านมีปัญญา ได้ดวงตาเห็นธรรม โดยทั่วหน้ากันครับ



อิทํ ปุเร จิตฺตมจาริ จาริกํ

เยนิจฺฉกํ ยตฺถกามํ ยถาสุขํ

ตทชฺชหํ นิคฺคหิสฺสามิ โยนิโส

หตฺถึ ปภินฺนํ วิย องฺกุสคฺคโห ฯ ๓๒๖ ฯ



เมื่อก่อนใจข้าได้ท่องเที่ยวไปในอารมณ์

ตามปรารถนา ตามความใคร่ ตามสบาย

ต่บัดนี้ ข้าจักบังคับมันด้วยโยนิโสมนสิการ

เหมือนควาญช้างถือขอ บังคับช้างที่ตกมัน




Formerly this mind went wandering

Where it liked, as it wished, as it listed.

I will now control it with attentiveness

As the driver with his hook a wild elephant.


ธรรมะสวัสดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น